โครงงาน เรื่อง ผ้าบาติก
กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
จัดทำโดย
1.นางสาว กชกร ไชยสงคราม เลขที่ 5
2.นาย เจษฎากร ทองส่งศรี เลขที่ 32
3.นางสาวณัฐถากรณ์ แสงประสิทธิ์ เลขที่ 35
4.นางสาวพิทยา วงศ์สุริยะ เลขที่ 37
เสนอ
อาจารย์ การุณย์ สุวรรณรักษา
261 ถนนไทรบุรี ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา
รหัสไปรษณีย์ 90000 โทร.074-211849
(คุณกอบกุล จงแจ่ม)
ความเป็นมาของโครงการ
การทำผ้าบาติกในระยะแรกคงทำกันเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงหรือทำเฉพาะในวัง แต่ก็มีผู้ให้ความเห็นขัดแย้งว่าน่าจะเป็นศิลปะพื้นบ้านใช้กันเป็นสามัญ ผู้ที่ทำบาติกมักจะเป็นผู้หญิงและทำหลังจากว่างจากการทำนาในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ประชาชนชวาได้ปรับปรุงวิธีการทำผ้าบาติก แก้ไขวิธีการผสมสี แต่ทั้งนี้วิวัฒนาการมาจากความรู้ดั้งเดิมจึงทำให้ผ้าบาติกได้แพร่หลายมายังประเทศไทยและได้เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของภาคใต้มาตั้งแต่โบราณ ในปัจจุบันนี้เด็กวัยรุ่น เยาวชนในยุคนี้ไม่ค่อยที่จะได้สนใจหรือความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่นของการทำผ้าบาติกกันสักเท่าไร จึงทำให้คณะนักเรียนมีความสนใจที่จะทำโครงงานเกี่ยว ขนมบอกโบราณ ซึ่งเป็นขนมที่มีความเก่าแก่ชนิดหนึ่งจึงสมควรค่าแก่การรักษาไว้
การทำผ้าบาติกในระยะแรกคงทำกันเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงหรือทำเฉพาะในวัง แต่ก็มีผู้ให้ความเห็นขัดแย้งว่าน่าจะเป็นศิลปะพื้นบ้านใช้กันเป็นสามัญ ผู้ที่ทำบาติกมักจะเป็นผู้หญิงและทำหลังจากว่างจากการทำนาในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ประชาชนชวาได้ปรับปรุงวิธีการทำผ้าบาติก แก้ไขวิธีการผสมสี แต่ทั้งนี้วิวัฒนาการมาจากความรู้ดั้งเดิมจึงทำให้ผ้าบาติกได้แพร่หลายมายังประเทศไทยและได้เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของภาคใต้มาตั้งแต่โบราณ ในปัจจุบันนี้เด็กวัยรุ่น เยาวชนในยุคนี้ไม่ค่อยที่จะได้สนใจหรือความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่นของการทำผ้าบาติกกันสักเท่าไร จึงทำให้คณะนักเรียนมีความสนใจที่จะทำโครงงานเกี่ยว ขนมบอกโบราณ ซึ่งเป็นขนมที่มีความเก่าแก่ชนิดหนึ่งจึงสมควรค่าแก่การรักษาไว้
วัตถุประสงค์
1.เพื่อศึกษาค้นคว้าความเป็นมา วัสดุอุปกรณ์ วิธีการทำผ้าบาติก
2.เพื่อศึกษาค้นคว้าประเภทของผ้าบาติก
3.เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น
4.เพื่อฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม
แผนผังโครงการ
-ชื่อเรื่อง
-โครงงานเรื่อง ผ้าบาติก
-ความเป็นมา
-วัตถุประสงค์
-แผนผังโครงงาน
-ขั้นตอนการดำเนินการ
-ผลของการศึกษา
-ประโยชน์ของการศึกษา
-วิธีการนำเสนอ
-แหล่งอ้างอิง
-ชื่อเรื่อง
-โครงงานเรื่อง ผ้าบาติก
-ความเป็นมา
-วัตถุประสงค์
-แผนผังโครงงาน
-ขั้นตอนการดำเนินการ
-ผลของการศึกษา
-ประโยชน์ของการศึกษา
-วิธีการนำเสนอ
-แหล่งอ้างอิง
ขั้นตอนการดำเนินงาน
1.วางแผนว่าต้องการจะศึกษาเรื่องอะไร
2.ศึกษาแหล่งข้อมูลสถานที่ที่เราต้องการที่จะศึกษาค้นคว้า
3.มอบหมายงานให้แก่เพื่อนในกลุ่ม
4.ไปศึกษาตามสถานที่ ที่เรากำหนด
5.รวบข้อมูล
6.จัดเข้ารูปเล่ม
7.นำเสนอ
วิวัฒนาการการทำผ้าบาติกในอินโดนีเซีย |
การทำผ้าบาติกในระยะแรกคงทำกันเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงหรือทำเฉพาะในวัง แต่ก็มีผู้ให้ความเห็นขัดแย้งว่าน่าจะเป็นศิลปะพื้นบ้านใช้กันเป็นสามัญ ผู้ที่ทำบาติกมักจะเป็นผู้หญิงและทำหลังจากว่างจากการทำนา ในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ประชาชนชวาได้ปรับปรุงวิธีการทำผ้าบาติก แก้ไขวิธีการผสมสี แต่ทั้งนี้วิวัฒนาการมาจากความรู้ดั้งเดิม ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 การทำผ้าบาติกผูกขาดโดยสุลต่าน และถือว่าการทำผ้าบาติกเป็นศิลปะในราชสำนัก โดยมีสตรีในราชสำนักเป็นผู้ผลิต ผ้าบาติกในยุคนี้เรียกว่า “ คราทอน ” (kraton) เป็นผ้าบาติกที่นิยมเขียนด้วยมือ (batik tulis) แต่ เมื่อผ้าบาติกได้รับความนิยมมากขึ้นและมีลูกค้ามากมาย การทำผ้าบาติกก็ได้ขยายวงกว้างขึ้น การผูกขาดโดยครอบครัวสุลต่านก็สิ้นสุดลง ศิลปะการทำผ้าบาติกได้แพร่หลายไปสู่ประชาชนโดยทั่วไป ผ้าบาติกในระยะแรกมีเพียงสีครามและสีขาว ในศตวรรษที่ 17 ได้ มีการค้นพบสีอื่น ๆ อีก เช่น สีแดง สีน้ำตาล สีเหลือง สีต่าง ๆ เหล่านี้ได้มาจากพืชทั้งสิ้น ต่อมาก็รู้จักผสมสีเหล่านี้ ทำให้ออกเป็นสีต่าง ๆ ภายหลังจึงมีการค้นพบสีม่วง สีเขียว และสีอื่น ๆ อีกในระยะต่อมา ปลายศตวรรษที่ 17 ได้ มีการสั่งผ้าลินินสีขาวจากต่างประเทศเข้ามา นับเป็นการก้าวหน้าในการทำผ้าบาติกอีกก้าวหนึ่ง โดยเฉพาะเทคนิคการระบายสีผ้าบาติก เพราะเริ่มมีการใช้สีเคมีในการย้อม การระบายสีซึ่งสามารถทำให้ผลิตผ้าบาติกได้จำนวนมากขึ้น และได้พัฒนาระบบธุรกิจผ้าบาติกจนกลายเป็นสินค้าส่งออก ในปี ค.ศ. 1830 ชาวยุโรปได้เลียนแบบผ้าบาติกของชวา และได้ส่งมาจำหน่ายที่เกาะชวาและในปี ค.ศ. 1940 ชาวอังกฤษได้พยายามเลียนแบบให้ดียิ่งขึ้น เพื่อส่งมาจำหน่ายในเกาะชวาเช่นเดียวกัน ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษ ที่ 19 เป็นต้นมา ได้มีการทำเครื่องมือในการพิมพ์ผ้าบาติก โดยทำเป็นแม่พิมพ์โลหะทองแดง ซึ่งเรียกว่า “จั๊บ” (cap) ทำให้สามารถผลิตผ้าบาติกได้รวดเร็วขึ้น ต้นทุนก็ถูกลง ทดแทนผ้าบาติกลายเขียนแบบดั้งเดิม การทำผ้าบาติกด้วยแม่พิมพ์ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์พื้นเมืองในลักษณะของอุตสาหกรรม ในครัวเรือน ประชาชนก็เริ่มทำผ้าบาติกเป็นอาชีพมากขึ้น การผลิตผ้าบาติกจากเดิมที่เคยใช้ฝีมือสตรีแต่เพียงฝ่ายเดียว เริ่มมีผู้ชายเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิต โดยเฉพาะการพิมพ์เทียนและการย้อมสี สำหรับการแต้มสีลวดลายยังใช้ฝีมือสตรีเช่นเดิม ความนิยมในการใช้ผ้าบาติกโดยเฉพาะในเกาะชวา เมื่อก่อนใช้กันเฉพาะสตรีและเด็กเท่านั้น ต่อมาได้ใช้เป็นเครื่องแต่งกายของหนุ่มสาวมี 3 ชนิด คือ 1. โสร่ง (Sarung) เป็นผ้าที่ใช้นุ่งโดยการพันรอบตัว ขนาดของผ้าโสร่งโดยทั่วไปนิยมผ้าหน้ากว้าง 42 นิ้ว ยาว 2 หลาครึ่งถึง 3 หลาครึ่ง ผ้าโสร่งมีลักษณะพิเศษ ส่วนที่เรียกว่า “ปาเต๊ะ” หมายถึง ส่วนที่ต้องนุ่งให้ตรงกับสะโพก โดยมีลวดลายสีสันแปลกต่างไปจากส่วนอื่น ๆ ในผ้าผืนเดียวกัน 2. สลินดัง (salindang) หมายถึง ผ้าซึ่งใช้นุ่งทับกางเกงของบุรุษหรือเรียกว่า “ผ้าทับ” เป็นผ้าที่เน้นลวดลายประดับเป็นกรอบหรือชาย ผ้าสลินดังมีความยาวประมาณ 3 หลา กว้างประมาณ 8 นิ้ว สตรีนิยมนำเอาผ้าสลินดังคลุมศีรษะ 3. อุเด็ง (udeng) หรือผ้าคลุมศีรษะ โดยทั่วไปจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ผ้าชนิดนี้สุภาพบุรุษใช้โพกศีรษะเรียกว่า “ซุรบาน” สำหรับสตรีจะใช้ทั้งคลุมศรีษะ และปิดหน้าอกเรียกว่า “คิมเบ็น” (kemben) ผ้าอุเด็งนิยมลวดลายที่เป็นกรอบสี่เหลี่ยม ผ้าคลุมไม่ปิดบ่าและไหล่ เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ทำงานหนัก เพื่อจะได้เคลื่อนไหวได้สะดวก สำหรับผ้าสลินดัง ภายหลังได้ทำขนาดให้ยาวขึ้นนั้น โดยใช้ผ้าหน้ากว้าง 42 นิ้ว ยาว 4-5 หลา ต่อมาได้มีการดัดแปลงเป็นเครื่องแต่งกายอื่นๆได้ การใช้ผ้าบาติกได้นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางทั้งบุรุษ สตรี เด็ก จนกลายเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติ แม้กระทั่งเครื่องแบบนักเรียน นับเป็นความพยายามของคนรุ่นต่อมาที่ได้พยายามปรับปรุงและพัฒนาการทำผ้าบาติก ให้มีความก้าวหน้าไปพร้อมๆ กับการพัฒนาด้านอื่นๆ จนกลายเป็นสินค้าที่ถูกใจชาวต่างชาติ ได้จัดจำหน่ายเป็นสินค้าออก ซึ่งทำให้ผ้าบาติกและเทคนิคการทำผ้าบาติกแพร่หลายออกไปสู่ประเทศอื่น ปัจจุบัน อินโดอินเซียได้มีการส่งเสริมให้ผลิตผ้าบาติกในระบบอุตสาหกรรม โดยผนวกเอาเทคนิคการทำผ้าบาติกแบบดั้งเดิมซึ่งเขียนเทียนด้วยเครื่องมือที่ เรียกว่า “จันติ้ง” (Canting) ผสมกับกระบวนการพิมพ์เทียนด้วยแม่พิมพ์ที่ทำด้วยโลหะทองแดง (Cap, Print, Block) รัฐบาลอินโดนีเซียได้วางนโยบายในการค้นคว้า ปรับปรุงผ้าบาติก โดยตั้งเป็นหน่วยงานที่เรียกว่า “ศูนย์พัฒนาบาติกแห่งรัฐยอกยาการ์ตา (Balai Pene ltian Batik Kerajian –Yogyakarta) การ พัฒนาด้านเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้เกิดเทคนิคในการผลิตผ้าซึ่งมีลวดลายผ้าแบบใหม่มองคล้ายผ้าบาติก แต่ความจริงเป็นเทคนิคการพิมพ์แบบซิลค์สกรีน (silkscreen) ซึ่งมีลักษณะลวดลายคล้ายผ้าบาติก งานเลียนแบบชนิดนี้ไม่เป็นที่นิยม ชาวอินโดนีเซียนิยมผ้าบาติกชนิดเขียนด้วยมือ และจัดว่าเป็นบาติกชั้นสูง (classical-batik) แต่ ก็มีราคาแพงกว่าบาติกที่ใช้ระบบการพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์ทองแดง การทำผ้าบาติกนอกจากจะเน้นด้านประโยชน์ใช้สอยแล้ว ปัจจุบันศิลปินชาวอินโดนีเซีย มาเลเซีย ได้ทำผ้าบาติกในลักษณะของงานจิตรกรรม (painting) และแพร่หลายไปยังศิลปินชาวยุโรปและอเมริกา |
อุปกรณ์ในการทำผ้าบาติก ในการทำผ้าบาติกมีอุปกรณ์ที่สำคัญๆ อยู่หลายชนิด เช่น จันติ้ง เทียน ผ้า สี เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดผลงานทางศิลปะที่มีความงดงาม ประณีต เกิดจากฝีมือทั้งสิ้น โดยอุปกรณ์ที่ใช้ทำผ้าบาติกมีอุปกรณ์ดังต่อไปนี้
วิธีการทำผ้าบาติก |
กว่าจะว่าเป็นชิ้นงานที่สวยงาม ที่ทุกคนได้ใช้ได้ใส่นั้น มีขั้นตอนการทำที่ไม่ยุ่งยากมากมาย เน้นจินตนาการและอารมณ์ทางศิลปะจากลายเส้นของผู้เขียน ที่ถ่ายทอดออกมาด้วยสีสัน เส้นสาย ลวดลาย บาติก ดังคำกล่าวของร้านภูเก็ตบาติก ที่ว่า “One piece of the world” ซึ่งมีวิธีทำดังต่อไปนี้
|
ประเภทของผ้าบาติก |
กระบวน การในการทำผ้าบาติก มีเทคนิคหลายอย่างที่ใช้ในการทำผ้าบาติก เทคนิคและวัสดุที่ใช้จะเป็นตัวบ่งบอกว่า ผ้าบาติกที่ได้นั้นจะเป็นผ้าบาติกชนิดไหน อย่างไรก็ตาม การสังเกตเป็นผ้าบาติกชนิดไหน ต้องดูตั้งแต่เริ่มของการเตรียมอุปกรณ์ จนการทำบาติกนั้นเสร็จลงการแบ่งประเภทของการทำผ้าบาติกโดยแบ่งตามเทคนิคในการผลิต มี 3 วิธีด้วยกัน คือ 1. บาติกลายเขียน (Mem Batik Tolis) เป็น บาติกที่จัดเป็นผ้าบาติกชั้นสูง เป็นที่นิยมกันในหมู่คนที่มีฐานะทางสังคม และฐานะทางการเงินดี ผ้าบาติกชนิดนี้จะต้องเขียนเทียนด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า จันติ้ง (Tjanting) ซึ่ง มีลักษณะคล้ายกับกามีกรวยให้น้ำเทียนไหลออกและมีด้ามสำหรับจับเขียน การเขียนเทียนนั้นต้องเขียนทั่วทั้งผืนในขณะที่เทียนกำลังร้อน ๆ เทียนจะไหลติดซึมลงไปในเนื้อผ้า และไหลซึมผ่านเส้นใยของผ้าลงไปด้านหลังทำให้สามารถกันสีที่ระบาย แต้ม หรือย้อมได้ และทำให้เกิดลวดลายขึ้น จะย้อมสีกี่ชั้นก็ตาม จะต้องเขียนเทียนปิดด้วยจันติ้งทุกครั้งผ้าบาติกลายเขียนเป็นผ้าที่มีลวดลายแบบอิสระ ช่างเขียนจะเขียนเทียนไปตามจินตนาการของตนเอง ไม่มีการวาดภาพรูปแบบลวดลายสีสันล้วน แต่ถ่ายทอดออกมาโดยอาศัยน้ำเทียนร้อน ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นจินตนาการและทักษะในการออกแบบของช่างจึงมีความสำคัญเป็นอย่างสูง ความงามของผ้าบาติกลายเขียน สังเกตได้จากการเขียนเส้นเทียนด้วยจันติ้ง ความชำนิชำนาญในการลากเส้น การจัดช่องไฟ เทคนิคแปลก ๆ การแสดงรายละเอียดมากเท่าใด ก็แสดงถึงฝีมืออันสูงส่งของผู้ผลิตผ้าชิ้นนั้น รวมทั้งทักษะในการระบายสี การย้อมสี ซึ่งมีความประสานสัมพันธ์กันอย่างเหมาะเจาะ ดังนั้นบาติกลายเขียนจึงเป็นผ้าที่มีราคาสูง 2. บาติกลายพิมพ์ (Mem Batik Cap) บา ติกลายพิมพ์หรือบาติกที่พิมพ์ลวดลายโดยใช้แม่พิมพ์อาจทำได้จากไม้ หรือทำจากทองแดง หรือโลหะชนิดอื่น โดยการใช้แม่พิมพ์จุ่มเทียนที่กำลังร้อนพอเหมาะ พิมพ์ลวดลายลงบนผ้า จากนั้นจึงแต้มสีหรือนำไปย้อมต่อไป บาติกลายพิมพ์ที่มีลักษณะพิเศษ คือ ลักษณะลวดลายซ้ำกัน ส่วนมากมักจะผลิตสำหรับจำหน่าย เป็นผ้าบาติกที่แพร่หลายมากกว่าบาติกลายเขียน เนื่องจากสามารถผลิตได้ครั้งละจำนวนมาก ความงามของผ้าบาติกนี้ขึ้นอยู่กับแม่พิมพ์ที่มีลักษณะของลวดลายที่มีราย ละเอียดและขบวนการผลิตที่ปราณีตมาก เช่น การพิมพ์ลาย ช่างพิมพ์จะพิมพ์เทียนลงบนผ้า ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้ความคมชัดของลวดลายมีลักษณะเหมือนกันทั้ง 2 ด้าน เมื่อนำไปย้อมสภาพของสีและลวดลาย มีความสดใสเหมือนกันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งช่างจะพยายามทำเลียนแบบให้คล้ายกับผ้าบาติกเขียนให้มากที่สุด จึงจัดว่าเป็นผ้าชั้นดี ผ้า บาติกที่แพร่หลายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนมากจะเป็นผ้าบาติกเทคนิคการพิมพ์มากกว่าเทคนิคการเขียน ลักษณะลวดลายสีสันมีสวยสดงดงาม ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบที่สำคัญ คือ แม่พิมพ์มีความละเอียดมากน้อยเพียงใด ทำด้วยโลหะชนิดใด เช่น ทำด้วยทองแดง ลายที่พิมพ์ออกมามีความคมชัดมากกว่าแม่พิมพ์ที่ทำจากโลหะชนิดอื่น สีเป็นส่วนประกอบที่สำคัญตลอดจนในการผลิต จำนวนครั้งในการย้อมสีก็เป็นส่วนสำคัญในแบ่งระดับชั้นของผ้าบาติกแบบแม่ พิมพ์ การย้อมสี 1 ครั้ง เรียกว่า ผ้าย้อมสี 1 ชั้น ผ้าย้อมสี 2 ครั้ง เรียกว่า ผ้าย้อมสี 2 ชั้น การเรียกชื่อจึงขึ้นอยู่กับเทคนิคในการย้อมสีนั้นเอง ผ้าบางชิ้นย้อมทับถึง 10 กว่าครั้ง 3. ผ้าบาติกพิมพ์สี (Batik screen) เป็น ผ้าบาติกที่ได้รับความนิยมกันมากอีกแบบหนึ่ง เป็นผ้าที่ทำเลียนแบบผ้าบาติกที่เขียนด้วยมือหรือบาติกลายเขียน ลักษณะลวดลายมีรายละเอียดที่สีสันสดใสกว่าเทคนิคอื่น ๆ ผ้าบาติกชนิดนี้เป็นการผสมผสานระหว่างเทคนิคการพิมพ์ผ้ากับเทคนิคการเขียน ด้วยมือ โดยการใช้ขี้ผึ้งผสมกัน เช่น ลวดลายสีน้ำตาลและสีผ้าเป็นส่วนที่ใช้เทคนิคการพิมพ์ตะแกรงใหม่ จากนั้นจึงปิดเทียนส่วนนี้แล้วจึงนำไปย้อมสีพื้น คือ สีส้มต่อไป ผ้าบาติกชนิดนี้บางครั้งอาจเรียกว่า “เลียนแบบ” วิธีการสังเกตให้สังเกตสีและลวดลายที่มีความคมชัดสดใส ไม่มีรอยเทียนแตกสี มีความสดใสเฉพาะด้านหน้าด้านเดียว ด้านหลังลวดลายไม่ชัดเจน นอกจากแบ่งประเภทของผ้าบาติกตามลักษณะของเทคนิคที่ใช้แล้ว ยังสามารถแบ่งเป็นชนิดของรูปแบบของผ้า ซึ่งแบ่งย่อยจากเทคนิคดังที่กล่าวมาแล้วโดยแบ่งตามชนิดของผ้าบาติกได้ดังนี้ 1. บาติกธรรมดา (Batik Biasa) เป็นบาติกลายพิมพ์ที่ผ่านการต้มเพียงครั้งเดียว 2. บาติกลาซิม (Batik Lasem) เป็นบาติกที่ผ่านกระบวนการต้ม 2 ครั้ง และผ่านการย้อมสี 2 ชั้น จะได้สีที่หลากหลายกว่าผ้าบาติกธรรมดา 3. บาติกเขียนสี (Batik Coteng warna) บา ติกชนิดนี้จะไม่ผ่านกระบวนการย้อมสีทั้ง 2 ครั้ง (ยกเว้นถ้าต้องการให้สีของผ้าดิบ พื้นผิวผ้าเป็นสีต่าง ๆ ทั้งนี้จะทำหลังจากที่แต้มหรือเขียนลวดลายเสร็จแล้ว) โดยใช้พู่กันแต้มสีลงบนลายดอกที่มีเทียนเป็นแม่พิมพ์อยู่ จะใช้สีแดงสำหรับลาย ส่วนที่เป็นดอกและส่วนที่เป็นใบก็จะใช้สีเทียน 4. บาติกโซโล (Batik Solo) บาติกโซโลมักจะถูกจำกัดด้วยความกว้างของผ้า เพราะเป็นลักษณะบาติกยาวหรือบาติกพัน ซึ่งมี 3 สี คือ ดำ เหลือง น้ำเงิน 5. บาติกชั้นเดียว (Batik Selapis) บา ติกชนิดนี้จะมีลวดลายอิสระ ส่วนหัวของผ้าจะเป็นลายของพืช (ดอกไม้หรือต้นไม้) แต่จะมีลักษณะพิเศษ คือ จะมีสีขาวเป็นสีหลัก ซึ่งไม่รวมกับสีเดิมของเนื้อผ้า
|
ผลของการศึกษา
จากการที่กลุ่มของพวกเราได้ศึกษาโครงงานเรื่อง “ผ้าบาติก” กันมาก็ได้รู้และเข้าใจในกระบวนการวิธีต่างๆในการทำผ้าบาติกมากขึ้นและทำให้ได้รู้การลงเส้นลวดลายของเทียน การไล่สี ที่สวยงามและสามรถนำไปจำหน่าย หารายได้พิเศษให้แก่ตัวเองและชุมชนได้อีกด้วยและสามารถนำความรู้ที่เราได้รับมาโครงงานเรื่องผ้าบาติกไปใช้ในชีวิตประจำให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อีกด้วย
จากการที่กลุ่มของพวกเราได้ศึกษาโครงงานเรื่อง “ผ้าบาติก” กันมาก็ได้รู้และเข้าใจในกระบวนการวิธีต่างๆในการทำผ้าบาติกมากขึ้นและทำให้ได้รู้การลงเส้นลวดลายของเทียน การไล่สี ที่สวยงามและสามรถนำไปจำหน่าย หารายได้พิเศษให้แก่ตัวเองและชุมชนได้อีกด้วยและสามารถนำความรู้ที่เราได้รับมาโครงงานเรื่องผ้าบาติกไปใช้ในชีวิตประจำให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อีกด้วย
วิธีการนำเสนอ
- นำเสนอผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดย www.blogger.com
- นำเสนอผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดย www.blogger.com
ความรู้สึกที่มีความรู้ต่อโครงงาน
1.ดีใจที่ได้ทำโครงงานนี้เพราะได้รู้ถึงแหล่งกำเนิดของผ้าบาติก
1.ดีใจที่ได้ทำโครงงานนี้เพราะได้รู้ถึงแหล่งกำเนิดของผ้าบาติก
2.ดีใจมากที่ได้ทำโครงงานภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับผ้าบาติกและได้รู้ความเป็นมาของผ้าบาติกอีกด้วย
3.ได้ความรู้ใหม่ๆจากการไปทำโครงงานเรื่อง “ผ้าบาติก”มากขึ้น
3.ได้ความรู้ใหม่ๆจากการไปทำโครงงานเรื่อง “ผ้าบาติก”มากขึ้น
4.ได้เป็นตัวแทนในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้ให้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย และเผยแพร่ให้แก่ผู้คนที่สนใจในผ้าบาติกอีกด้วย
แหล่งอ้างอิง
http://www.songkhlabatik.com/index.php?option=com_content&view=article&id=18&Itemid=79 เว็บของร้านศิลปะและหัตถกรรมบาติก
http://www.watsuthatschool.com/art/ac/bt-001.html อุปกรณ์ในการทำผ้าบาติก