tag:blogger.com,1999:blog-246277270291586352024-03-21T10:17:37.703-07:00★♫♬♪❤→B A N K _ F R E E D O M←❤♪♫♬★★♫♬♪❤→B A N K _ F R E E D O M←❤♪♫♬★http://www.blogger.com/profile/06142180092029955884noreply@blogger.comBlogger10125tag:blogger.com,1999:blog-24627727029158635.post-20979391783482112952010-09-12T05:49:00.001-07:002010-09-12T05:57:26.633-07:00วิธีการทางประวัติศาสตร์<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhBkNYtItteWsepEKwyhjFzZBw0ntGvE0NZQPGGAIVVQPrde8rXlLMH2-Dwr2AG6W1CStFMSLoyhlcRPpmjrYFcxPRbq1BJC5-rTNvb1IxTw-RosI8Mg7WiDASAAFeRSsHECvWjD9VKiEE/s1600/wall_moungsike.JPG"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 400px; height: 266px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhBkNYtItteWsepEKwyhjFzZBw0ntGvE0NZQPGGAIVVQPrde8rXlLMH2-Dwr2AG6W1CStFMSLoyhlcRPpmjrYFcxPRbq1BJC5-rTNvb1IxTw-RosI8Mg7WiDASAAFeRSsHECvWjD9VKiEE/s400/wall_moungsike.JPG" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5516009846120835074" /></a><br /><span class="Apple-style-span" style="line-height: 18px; "><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;">ในการสืบค้น ค้นคว้าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ มีอยู่หลายวิธี เช่น จากหลักฐานทางวัตถุที่ขุดค้นพบ หลักฐานที่เป็นการบันทึกลายลักษณ์อักษร หลักฐานจากคำบอกเล่า ซึ่งการรวบรวมเรื่องราวต่างๆทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ เรียกว่า วิธีการทางประวัติศาสตร์วิธีการทางประวัติศาสตร์ คือ การรวบรวม พิจารณาไตร่ตรอง วิเคราะห์และตีความจากหลักฐานแล้วนำมาเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ เพื่ออธิบายเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในอดีตว่าเหตุใดจึงเกิดขึ้น หรือเหตุการณ์ในอดีตนั้นได้เกิดและคลี่คลายอย่างไร ซึ่งเป็นความมุ่งหมายที่สำคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์</span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span"><br /><br /></span></span></span><strong><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;"><span class="Apple-style-span"><br /></span></span></span></strong></span><div><span class="Apple-style-span" style="line-height: 18px; "><strong><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;"><span class="Apple-style-span">ความสำคัญของวิธีการทางประวัติศาสตร์</span></span></span></strong><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span"><br /></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;">สำหรับการศึกษาประวัติศาสตร์นั้น มีปัญหาที่สำคัญอยู่ประการหนึ่ง คือ อดีตที่มีการฟื้นหรือจำลองขึ้นมาใหม่นั้น มีความถูกต้องสมบูรณ์และเชื่อถือได้เพียงใดรวมทั้งหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษรที่นำมาใช้เป็นข้อมูลนั้น มีความสมบูรณ์มากน้อยเพียงใด เพราะเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มีอยู่มากมายเกินกว่าที่จะศึกษาหรือจดจำได้หมด แต่หลักฐานที่ใช้เป็นข้อมูลอาจมีเพียงบางส่วน ดังนั้น วิธีการทางประวัติศาสตร์จึงมีความสำคัญเพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ หรือผู้ฝึกฝนทางประวัติศาสตร์จะได้นำไปใช้ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง ไม่ลำเอียง และเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ</span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br /><br /></span></span><strong><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;"><span class="Apple-style-span">ขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์ ::</span></span></strong><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span"> </span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span"><br /><br /></span></span><strong><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;"><span class="Apple-style-span">ขั้นตอนที่ 1</span></span></strong><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;"><span class="Apple-style-span"> การกำหนดเป้าหมาย</span> </span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br /></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;">เป็นขั้นตอนแรก นักประวัติศาสตร์ต้องมีจุดประสงค์ชัดเจนว่าจะศึกษาอะไร อดีตส่วนไหน สมัยอะไร และเพราะเหตุใด เป็นการตั้งคำถามที่ต้องการศึกษา นักประวัติศาสตร์ต้องอาศัยการอ่าน การสังเกต และควรต้องมีความรู้กว้างๆ ทางประวัติศาสตร์ในเรื่องนั้นๆมาก่อนบ้าง ซึ่งคำถามหลักที่นักประวัติศาสตร์ควรคำนึงอยู่ตลอดเวลาก็คือทำไมและเกิดขึ้นอย่างไร</span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span"><br /><br /></span></span></span><strong><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;"><span class="Apple-style-span">ขั้นตอนที่ 2</span></span></strong><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;"><span class="Apple-style-span"> การรวบรวมข้อมูล</span> </span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span"><br /></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;">หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ให้ข้อมูล มีทั้งหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร และหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร มีทั้งที่เป็นหลักฐานชั้นต้น(ปฐมภูมิ) และหลักฐานชั้นรอง(ทุติยภูมิ) การรวบรวมข้อมูลนั้น หลักฐานชั้นต้นมีความสำคัญ และความน่าเชื่อถือมากกว่าหลักฐานชั้นรอง แต่หลักฐานชั้นรองอธิบายเรื่องราวให้เข้าใจได้ง่ายกว่าหลักฐานชั้นรองในการรวบรวมข้อมูลประเภทต่างๆดังกล่าวข้างต้น ควรเริ่มต้นจากหลักฐานชั้นรองแล้วจึงศึกษาหลักฐานชั้นต้น ถ้าเป็นหลักฐานประเภทไม่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ควรเริ่มต้นจากผลการศึกษาของนักวิชาการที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ก่อนไปศึกษาจากของจริงหรือสถานที่จริงการศึกษาประวัติศาสตร์ที่ดีควรใช้ข้อมูลหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าผู้ศึกษาต้องการศึกษาเรื่องอะไร ดังนั้นการรวบรวมข้อมูลที่ดีจะต้องจดบันทึกรายละเอียดต่างๆ ทั้งข้อมูลและแหล่งข้อมูลให้สมบูรณ์และถูกต้อง เพื่อการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ</span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span"><br /><br /></span></span></span><strong><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;"><span class="Apple-style-span">ขั้นตอนที่ 3</span></span></strong><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;"><span class="Apple-style-span"> การประเมินคุณค่าของหลักฐาน</span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span"><br /></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;">วิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร์ คือ การตรวจสอบหลักฐานและข้อมูลในหลักฐานเหล่านั้นว่า มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ประกอบด้วยการวิพากษ์หลักฐานและวิพากษ์ข้อมูลโดยขั้นตอนทั้งสองจะกระทำควบคู่กันไป เนื่องจากการตรวจสอบหลักฐานต้องพิจารณาจากเนื้อหา หรือข้อมูลภายในหลักฐานนั้น และในการวิพากษ์ข้อมูลก็ต้องอาศัยรูปลักษณะของหลักฐานภายนอกประกอบด้วยการวิพากษ์หลักฐานหรือวิพากษ์ภายนอกการวิพากษ์หลักฐาน (external criticism) คือ การพิจารณาตรวจสอบหลักฐานที่ได้คัดเลือกไว้แต่ละชิ้นว่ามีความน่าเชื่อถือเพียงใด แต่เป็นเพียงการประเมินตัวหลักฐาน มิได้มุ่งที่ข้อมูลในหลักฐาน ดังนั้นขั้นตอนนี้เป็นการสกัดหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือออกไปการวิพากษ์ข้อมูลหรือวิพากษ์ภายในการวิพากษ์ข้อมูล (internal criticism) คือ การพิจารณาเนื้อหาหรือความหมายที่แสดงออกในหลักฐาน เพื่อประเมินว่าน่าเชื่อถือเพียงใด โดยเน้นถึงความถูกต้อง คุณค่า ตลอดจนความหมายที่แท้จริง ซึ่งนับว่ามีความสำคัญต่อการประเมินหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร เพราะข้อมูลในเอกสารมีทั้งที่คลาดเคลื่อน และมีอคติของผู้บันทึกแฝงอยู่ หากนักประวัติศาสตร์ละเลยการวิพากษ์ข้อมูลผลที่ออกมาอาจจะผิดพลาดจากความเป็นจริง</span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span"><br /><br /></span></span></span><strong><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;"><span class="Apple-style-span">ขั้นตอนที่ 4</span></span></strong><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;"><span class="Apple-style-span"> การตีความหลักฐาน</span></span><span class="Apple-style-span"> </span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span"><br /></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;">การตีความหลักฐาน หมายถึง การพิจารณาข้อมูลในหลักฐานว่าผู้สร้างหลักฐานมีเจตนาที่แท้จริงอย่างไร โดยดูจากลีลาการเขียนของผู้บันทึกและรูปร่างลักษณะโดยทั่วไปของประดิษฐกรรมต่างๆเพื่อให้ได้ความหมายที่แท้จริงซึ่งอาจแอบแฟงโดยเจตนาหรือไม่ก็ตามในการตีความหลักฐาน นักประวัติศาสตร์จึงต้องพยายามจับความหมายจากสำนวนโวหาร ทัศนคติ ความเชื่อ ฯลฯ ของผู้เขียนและสังคมในยุคสมัยนั้นประกอบด้วย เพื่อทีจะได้ทราบว่าถ้อยความนั้นนอกจากจะหมายความตามตัวอักษรแล้ว ยังมีความหมายที่แท้จริงอะไรแฝงอยู่</span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span"><br /><br /></span></span></span><strong><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;"><span class="Apple-style-span">ขั้นตอนที่ 5</span></span></strong><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;"><span class="Apple-style-span"> การสังเคราะห์และการวิเคราะห์ข้อมูล </span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span"><br /></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;">จัดเป็นขั้นตอนสุดท้ายของวิธีการทางประวัติศาสตร์ ซึ่งผู้ศึกษาค้นคว้าจะต้องเรียบเรียงเรื่อง หรือนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่เป็นการตอบหรืออธิบายความอยากรู้ ข้อสงสัยตลอดจนความรู้ใหม่ ความคิดใหม่ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้านั้นในขั้นตอนนี้ ผู้ศึกษาจะต้องนำข้อมูลที่ผ่านการตีความมาวิเคราะห์ หรือแยกแยะเพื่อจัดแยกประเภทของเรื่อง โดยเรื่องเดียวกันควรจัดไว้ด้วยกัน รวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กัน เรื่องที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน จากนั้นจึงนำเรื่องทั้งหมดมาสังเคราะห์หรือรวมเข้าด้วยกัน คือ เป็นการจำลองภาพบุคคลหรือเหตุการณ์ในอดีตขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์และความต่อเนื่อง โดยอธิบายถึงสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และผล ทั้งนี้ผู้ศึกษาอาจนำเสนอเป็นเหตุการณ์พื้นฐาน หรือเป็นเหตุการณ์เชิงวิเคราะห์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการศึกษา</span></span></span></div>★♫♬♪❤→B A N K _ F R E E D O M←❤♪♫♬★http://www.blogger.com/profile/06142180092029955884noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24627727029158635.post-40008150956155928602010-09-12T04:59:00.000-07:002010-09-12T05:34:23.929-07:00บทบาทพระมหากษัตริย์ไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ต่อการพัฒนาชาติไทย<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjNkziJdbcRctq58oIwIXkx2IExXKpQYzegg5lOsXOnlB5W7OZkFqrjGPzxaXndxm5EgB88IqWJGXCXAt83BnaIjauMMYB4xD9ZjkHCPAtz3CBPyXDebyY5pKmi9ZoKPg7fTjrsOpwdTUs/s1600/123.jpg"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5515998213979395058" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 325px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjNkziJdbcRctq58oIwIXkx2IExXKpQYzegg5lOsXOnlB5W7OZkFqrjGPzxaXndxm5EgB88IqWJGXCXAt83BnaIjauMMYB4xD9ZjkHCPAtz3CBPyXDebyY5pKmi9ZoKPg7fTjrsOpwdTUs/s400/123.jpg" border="0" /></span></a><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;"><br /></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:x-large;"><div><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:x-large;"><br /><span style="color:#000000;"></span></span><span style="font-size:130%;"><span style="font-family:times new roman;"></span></span></span></span></div></span><span style="font-family:times new roman;font-size:180%;color:#ff0000;"><strong>การเมือง</strong></span></span></span><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><span style="font-size:180%;color:#ff0000;"><strong><br /></strong></span>สภาพทางการเมืองในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยังคงรูปแบบของระบบประชาธิปไตยอันเป็นระบบการปกครองที่สืบทอดมาช้านาน การเปลี่ยนแปลงภายในตัวระบบอยู่ที่การปรับบทบาทของสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันสูงสุดที่ทำหน้าที่ปกครองประเทศ รูปแบบของสถาบ้นกษัตริย์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คลายความเป็นเทวราชาลงเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็กลับเน้นคติและรูปแบบของธรรมราชาขึ้นแทนที่ อย่างไรก็ตาม อำนาจอันล้นพ้นของพระมหากษัตริย์ก็มีอยู่แต่ในทางทฤษฎี เพราะในทางปฏิบัติ พระราชอำนาจของพระองค์กลับถูกจำกัดลงด้วยคติธรรมในการปกครอง ซึ่งอิงหลักธรรมของพุทธศาสนา คือ ทศพิธราชธรรม กับอีกประการหนึ่ง คือ การถูกแบ่งพระราชอำนาจตามการจัดระเบียบควบคุมในระบบไพร่ ซึ่งถือกันว่า พระมหากษัตริย์คือมูลนายสูงสุดที่อยู่เหนือมูลนายทั้งปวง แต่ในทางปฏิบัติพระองค์ก็มิอาจจะควบคุมดูแลไพร่พลเป็นจำนวนมากได้ทั่วถึง จึงต้องแบ่งพระราชอำนาจในการบังคับบัญชากำลังคนให้กับมูลนายในระดับรองๆ ลงมา ในลักษณะเช่นนั้น มูลนายที่ได้รับมอบหมายให้กำกับไพร่และบริหารราชการแผ่นดินต่างพระเนตรพระ กรรณ จึงเป็นกลุ่มอำนาจมีอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกลุ่มใดจะมีอำนาจเหนือกลุ่มใดก็แล้วแต่สภาพแวดล้อมของสังคมในขณะนั้น เป็นสำคัญ<br /></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:180%;color:#ff0000;"><strong>การปกครอง</strong></span></span></span></span><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><span style="font-size:180%;color:#ff0000;"><strong><br /></strong></span>การปกครองและการบริหารประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น กล่าวได้ว่า รูปแบบของการปกครอง ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ยังคงยึดตามแบบฉบับที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงวางระเบียบไว้ จะมีการเปลี่ยนแปลงก็เพียงเล็กน้อย เช่น ในสมัยรัชกาลที่ ๑ โปรดฯ ให้คืนเขตการปกครองในหัวเมืองภาคใต้กลับให้สมุหกลาโหมตามเดิม ส่วนสมุหนายกให้ปกครองหัวเมืองทางเหนือ ส่วนพระคลังดูแลหัวเมืองชายทะเล ในด้านระบบการบริหาร ก็ยังคงมีอัครมหาเสนาบดี ๒ ฝ่าย คือ สมุหนายกเป็นหัวหน้าฝ่ายพลเรือน ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือ และสมุหกลาโหม เป็นหัวหน้าราชการฝ่ายทหาร ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ ตำแหน่งรองลงมาคือ เสนาบดีจตุสดมภ์ แบ่งตามชื่อกรมที่มีอยู่คือ เวียง วัง คลังและ นา ในบรรดาเสนาทั้ง ๔ กรมนี้ เสนาบดีกรมคลังจะมีบทบาทและภาระหน้าที่มากที่สุด คือนอกจากจะบริหารการคลังของประเทศแล้ว ยังมีหน้าที่ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองชายทะเลตะวันออก เสนาบดีทั้งหลายมีอำนาจสั่งการภายในเขตความรับผิดชอบของตน รูปแบบที่ถือปฏิบัติก็คือ ส่งคำสั่งและรับรายงานจากเมืองในสังกัดของตน ถ้ามีเรื่องร้ายที่เกิดขึ้น เสนาบดีเจ้าสังกัดจะเป็นแม่ทัพออกไปจัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อย มีศาลของตัวเองและสิทธิในการเก็บภาษีอากรในดินแดนสังกัดของตน รวมทั้งดูแลการลักเลขทะเบียนกำลังคนในสังกัดด้วย<br />การบริหารในระดับต่ำลงมา อาศัยรูปแบบการปกครองคนในระบบไพร่ คือ แบ่งฝ่ายงานออกเป็นกรมกองต่างๆ แต่ละกรมกอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการควบคุมกำลังคนในสังกัดของตน โครงสร้างของแต่ละกรม ประกอบด้วยขุนนางข้าราชการอย่างน้อย ๓ ตำแหน่ง คือ เจ้ากรม ปลัดกรม และสมุห์บัญชี กรมมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก กรมใหญ่มักเป็นกรมสำคัญ เจ้ากรมมีบรรดาศักดิ์ถึงขนาดเจ้าพระยาหรือพระยา<br />กรมของเจ้านายที่มีความสำคัญมากที่สุด ได้แก่ กรมของพระมหาอุปราช ซึ่งเรียกกันว่า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล กรมของพระองค์มีไพร่พลขึ้นสังกัดมาก กรมของเจ้านายมิได้ทำหน้าที่บริหารราชการโดยตรง ถือเป็นกรมที่ควบคุมกำลังคนเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้น การแต่งตั้งเจ้านายขึ้นทรงกรมจึงเป็นการให้ทั้งความสำคัญ เกียรติยศ และความมั่นคงเพราะไพร่พลในครอบครองเป็นเครื่องหมายแสดงถึงอำนาจและความ มั่งคั่งของมูลนายผู้เป็นเจ้าของการบริหารราชการส่วนกลาง มีพระมหากษัตริย์เป็นมูลนายระดับสูงสุด เจ้านายกับขุนนางข้าราชการผู้บังคับบัญชากรมต่างๆ ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ฐานะเป็นมูลนายในระดับสูง ช่วยบริหารราชการ โดยมีนายหมวด นายกอง เป็นมูลนายระดับล่างอยู่ใต้บังคับบัญชา และทำหน้าที่ควบคุมไพร่อีกต่อหนึ่ง การสั่งราชการจะผ่านลำดับชั้นของมูลนายลงมาจนถึงไพร่<br />สำหรับการปกครองในส่วนภูมิภาคหรือการปกครองหัวเมือง ขึ้นอยู่กับอัครมหาเสนาบดี ๒ ท่าน และเสนาบดีคลัง ดังได้กล่าวไว้ข้างต้น หัวเมืองแบ่งออกเป็นสองชั้นใหญ่ๆ ได้แก่ หัวเมืองชั้นในและหัวเมืองชั้นนอก การแบ่งหัวเมืองยังมีอีกวิธีหนึ่ง โดยแบ่งออกเป็น ๔ ขั้น คือ เอก โท ตรี จัตวา ตามความสำคัญทางยุทธศาสตร์และราษฎร<br />หัวเมืองชั้นใน เป็นหน่วยปกครองที่อยู่ใกล้เมืองหลวง มีเจ้าเมืองหรือผู้รั้ง ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าปกครองดูแล<br />หัวเมืองชั้นนอก มีทั้งหัวเมืองใหญ่ หัวเมืองรอง และหัวเมืองชายแดน หัวเมืองเหล่านี้ อยู่ใต้การปกครองของเจ้าเมือง และข้าราชการในเมืองนั้นๆ<br />นโยบายที่ใช้ในการปกครองหัวเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อความกระชับยิ่งขึ้น กล่าวคือ รัชกาลที่ ๑ ได้ทรงออกพระราชกำหนดตัดทอนอำนาจเจ้าเมืองในการแต่งตั้งข้าราชการที่สำคัญๆ ทุกตำแหน่ง โดยโอนอำนาจการแต่งตั้งจากกรมเมืองในเมืองหลวง นับเป็นการขยายอำนาจของส่วนกลาง โดยอาศัยการสร้างความจงรักภักดีให้เกิดขึ้นกับเจ้านายทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งเจ้าเมือง และข้าราชการที่แต่งตั้งตนในส่วนกลาง ตำแหน่งต่างๆ เหล่านี้ต้องรายงานตัวต่อผู้ตั้งทุกปี ทั้งนี้เพื่อผลในการควบคุมไพร่พลและเกณฑ์ไพร่มาใช้ เพราะฉะนั้น มูลนายในเมืองหลวงจึงได้ควบคุมสัสดีต่างจังหวัดอย่างใกล้ชิด<br />ส่วนการปกครองในประเทศราช เช่น ลาว เขมร มลายู นั้น ไทยใช้วิธีปกครองโดยทางอ้อม ส่วนใหญ่จะปลูกฝังความนิยมไทยลงในความรู้สึกของเจ้านายเมืองขึ้น โดยการนำเจ้านายจากประเทศราชมาอบรมเลี้ยงดูในฐานะพระราชบุตรบุญธรรมของพระ มหากษัตริย์ในราชสำนักไทยหรือสนับสนุนให้มีการแต่งงานกันระหว่างเจ้านายทั้ง สองฝ่าย และภายหลังก็ส่งเจ้านายพระองค์นั้นไปปกครองเมืองประเทศราช ด้วยวิธีนี้ จึงทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันกันขึ้นระหว่างกษัตริย์ไทยกับเจ้านายเมืองขึ้น การปกครอง หรือการขยายอำนาจอิทธิพลในอาณาจักรต่างๆ เหล่านี้ ฝ่ายไทยและประเทศราชไม่มีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ขึ้นกับอำนาจความมั่นคงของราชอาณาจักรไทย เพราะฉะนั้น ในช่วงใดที่ประเทศอ่อนแอ เมืองขึ้นก็อาจแข็งเมืองหรือหันไปหาแหล่งอำนาจใหม่ เพราะฉะนั้น เมื่ออำนาจตะวันออกแผ่อิทธิพลเข้ามาในดินแดนเอเซียอาคเนย์ ปัญหาเรื่องอิทธิพลในเขตแดนต่างๆ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเวลาทำความตกลงกัน<br />ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดินอย่างขนานใหญ่ ควบคู่ไปกับการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ก็เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป การปฏิรูปเศรษฐกิจ ก็ได้แก่ การปรับปรุงระบบบริหารงานคลังและภาษีอากร ส่วนการปฏิรูปสังคมก็ได้แก่ การเลิกทาส การปฏิรูปการศึกษา รวมทั้งการปรับปรุงการสื่อสาร และการคมนาคม เป็นต้น<br />สำหรับมูลเหตุสำคัญที่ผลักดันให้มีการปฏิรูปการปกครอง มีอยู่ ๒ ประการ คือ<br />๑.มูลเหตุภายใน ทรง พิจารณาเห็นว่าการปกครองแบบเดิมไม่เหมาะสมกับสภาพทางการปกครองและทางสังคม ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ประเทศไทยมีประชากรเพิ่มขึ้น การคมนมคมและการติดต่อสื่อสารเริ่มมีความทันสมัยมากขึ้น การปกครองแบบเดิมจะมีผลทำให้ประเทศชาติขาดเอกภาพในการปกครอง ขาดประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินและพัฒนาได้ยาก<br />๒.มูลเหตุภายนอก ทรง พิจารณาเห็นว่า หากไม่ทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดินย่อมจะเป็นอันตรายต่อเอกราชของชาติ เพราะขณะนั้น จักวรรดินิยมตะวันตก ได้เข้ามาแสวงหาอาณานิคมในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนั้น แต่เดิมเราต้องยินยอมให้ประเทศตะวันตกหลายประเทศมีสิทธิภาพนอกอาณาเขตคือ สามารถตั้งศาลกงสุลขึ้นมาพิจารณาความคนในบังคับของตนได้ โดยไม่ต้องอยู่ใต้การบังคับของศาลไทย เพราะอ้างว่า ศาลไทยล้าสมัย<br /></span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:180%;color:#ff0000;"><strong>พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ</strong></span></span></span><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><br />สภาพทางเศรษฐกิจสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังคงยึดแบบแผนที่ปฏิบัติมา ตั้งแต่สมัยอยุธยาและสมัยกรุงธนบุรีเป็นหลัก ซึ่งพอจะประมวลองค์ประกอบทางเศรษฐกิจที่สำคัญได้ 3 ประการคือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการค้า ที่มาของรายได้แผ่นดินและรายได้ประชาชาติ ระบบเงินตรา<br />1. หน่วยงานที่เกี่ยวกับการค้าและเศรษฐกิจ<br />1.1 พระคลังสินค้า เป็นหน่วยงานที่สำคัญที่สุดที่เกี่ยวกับการค้าขาย ทำหน้าที่ควบคุมสินค้าขาเข้าและขาออก ตลอดจนการเลือกซื้อสินค้าที่ทางราชการต้องการ หรือสินค้าผูกขาด (สินค้าที่ทางราชการต้องการและคิดว่ามีอันตรายหากพ่อค้าจะทำการซื้อขายกัน โดยตรง) ได้แก่ อาวุธ กระสุนปืน และควบคุมกำหนดสินค้าต้องห้าม (คือสินค้าที่หายากและมีราคาแพง ราษฎรต้องนำมาขายให้แก่ทางราชการ) ได้แก่ งาช้าง รังนก ฝาง กฤษณา พระคลังสินค้าเป็นหน่วยงานการค้าแบบผูกขาด จึงได้ผลกำไรมาก แต่เมื่อไทยมีการค้าขายกับต่างชาติ โดยเฉพาะชาวตะวันตก พ่อค้าเหล่านั้นไม่ได้รับความสะดวกภายหลังหน่วยงานนี้ถูกยกเลิกไปภายหลังการ ทำสนธิสัญญาเบาว์ริง<br />1.2 กรมท่า เป็นกรมที่ทำหน้าที่ติดต่อกับพ่อค้าต่างชาติ เพราะกรมนี้มีหน้าที่ปกครองหัวเมืองชายทะเล จึงเป็นกรมที่กว้างขวางและคุ้นเคยกับชาวต่างชาติ ปัจจุบันกรมนี้คือกระทรวงการต่างประเทศ<br />1.3 เจ้าภาษีนายอากร ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการจัดเก็บภาษีใหม่ คือรัฐบาลจะเรียกเก็บภาษีอากรเฉพาะที่สำคัญๆ เท่านั้น ส่วนที่เหลือก็จะประมูลให้เอกชนรับเหมาผูกขาดในการดำเนินการเรียกเก็บจาก ราษฎร ผู้ที่ประมูลได้เรียกว่า "เจ้าภาษีหรือนายอากร" ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีนเกือบทั้งหมดตามหัวเมือง ราษฎรจะเรียกว่า กรมการจีน<br />ระบบเจ้าเจ้าภาษีนายอากรนี้มีทั้งผลดีและผลเสียต่อชาติดังนี้<br />ผลดี ช่วยประหยัดในการลงทุนดำเนินการ ทำให้ท้องพระคลังมีจำนวนภาษีที่แน่นอนไม่ก่อให้เกิดปัญหาในการเรียกเก็บ<br />ผลเสีย เจ้าภาษีนายอากรบางคนคิดหากำไรในทางมิชอบ มีการรั่วไหลมักใช้อำนาจข่มขู่ราษฎรเรียกเก็บเงินตามพิกัด<br />2. ที่มาของรายได้แผ่นดินและรายได้ประชาชาติ<br />2.1 การเกษตร มีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของชาวไทยตลอดเวลา มีกรมนารับผิดชอบ รายได้ของแผ่นดินส่วนใหญ่รับจากภาษีอากรด้านการเกษตร เช่น อากรค่านา อากรสมพัตสร (เก็บจากไม้ล้มลุกแต่ไม่ใช่ข้าว) และมีการเดินสวน เดินนา<br />2.2 การค้าขาย การค้าจะทำโดยพระคลังสินค้าและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ สินค้าที่มีการซื้อขายระหว่างพระคลังกับพ่อค้ามี 2 ประเภทคือ สินค้าผูกขาดกับสินค้าต้องห้าม และได้มีการส่งเรือสำเภาไปค้าขายกับต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นของทางราชการ เช่นค้าขายกับจีน อินเดียและพวกอาหรับ ในสมัยรัชกาลที่ 2 การค้ากับต่างประเทศขยายตัวมากขึ้น เพราะพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ 3 ต่อมา) ทรงเป็นหัวแรงสำคัญจนได้รับสมญาว่า "เจ้าสัว" และมีการค้าขายกับทางตะวันตก เช่น โปรตุเกส อังกฤษ อเมริกา ฮอลันดา สมัยรัชกาลที่ 3 การค้าขายสะดวกรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลจากการทำสนธิสัญญาเบอร์นีกับอังกฤษ<br />2.3 ภาษีอากร ภาษีอากรที่เรียกเก็บ มี 4 ประเภทคือ<br />- จังกอบ คือ ค่าผ่านด่านที่เก็บจากเรือ เกวียน หรือเครื่องบรรทุกอื่นที่ผ่านด่าน<br />- อากร คือ ภาษีที่เก็บจากราษฎรซึ่งประกอบอาชีพที่มิใช่การค้า ซึ่งปกติจะเรียกอากรตามอาชีพที่ทำ เช่น อากรค่านา อากรสุรา<br />- ฤชา คือ ค่าธรรมเนียมที่เก็บจากค่าบริการที่ทางราชการทำให้แก่ราษฎร เช่น ออกโฉนด ค่าธรรมเนียมศาล<br />- ส่วย คือ เงินหรือสิ่งของที่ไพร่หลวงผู้ที่ไม่ต้องเข้าเวรส่งมอบแทนการเข้าประจำการ<br />3. ระบบเงินตรา<br />- เงินพดด้วง (รูปสัณฐานกลมเป็นก้อนแต่ตีปลาย 2 ข้างงอเข้าหากัน)<br />- เงินปลีกย่อย ใช้เบี้ยและหอยเหมือนสุโขทัยและอยุธยา<br /></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:x-large;">ด้านสังคม</span></span></span></span></span></span><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><br />สภาพสังคมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นส่วนใหญ่มีลักษณะโครงสร้างไม่แตกต่างจากสมัยอยุธยาและธนบุรี<br />องค์ประกอบของสังคมไทยประกอบด้วยสถาบันต่างๆ ได้แก่ สถาบันพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการ ไพร่ และทาส<br />1. พระมหากษัตริย์ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีลักษณะเป็นทั้งเทวราชาและธรรมราชา<br />พระมหากษัตริย์ในฐานะองค์สมมติเทพ พระมหากษัตริย์ทรงดำรงฐานะเป็นสมมติเทพตามติของศาสนาพราหมณ์ ขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับองค์พระมหากษัตริย์สะท้อนให้เห็นถึงความเป็น สมมติเทพ เช่น การสร้างที่ประทับ พระที่นั่งพระราชวัง การประกอบพิธีต่างๆ การใช้คำราชาศัพท์ เป็นต้น พระมหากษัตริย์ในฐานะธรรมราชา ตามคติธรรมราชานั้นถือว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรม 10 ประการ และจักรวรรดิวัตร 12 ประการ อย่างไรก็ตาม โดยขัตติยราชประเพณีแล้วพระมหากษัตริย์ทรงดำรงฐานะประดุจดังสมมติเทพ โดยคติความเชื่อ แต่ในทางปฏิบัติ พระองค์ทรงเป็นธรรมราชา ทำให้ฐานะของพระมหากษัตริย์ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นมีลักษณะของความเป็นผู้ นำทางการเมืองที่เหมือนคนธรรมดามากขึ้น แต่พระองค์ก็ยังทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดเป็นเจ้าชีวิตของปวงชน เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นจอมทัพ เป็นต้น และพระบรมราชโองการของพระองค์ ผู้ใดจะฝ่าฝืนไม่ได้ ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนต้องถูกลงโทษอย่างหนัก<br />2. พระบรมวงศานุวงศ์<br />สกุลยศและอิสริยยศของพระบรมวงศานุวงศ์ บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลายส่วนใหญ่ก็อยู่ในฐานะอันสูงส่ง ทั้งนี้เพราะเป็นพระญาติวงศ์ของพระมหากษัตริย์ ตำแหน่งของพระบรมวงศานุวงศ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ สกุลยศกับอิสริยศ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สกุลยศมีอยู่ 3 ตำแหน่ง คือ เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า และหม่อมเจ้า ส่วน อิสรยศ คือ พระยศที่พระมหากษัตริย์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนขึ้น อิสริยยศที่สำคัญที่สุดและสูงที่สุด ได้แก่ พระมหาอุปราช นอกจากนี้การได้รับตำแหน่งทรงกรมก็คือเป็นอิสริยยศด้วยเหมือนกัน ได้แก่ กรมหมื่น กรมขุน กรมหลวง กรมพระ กรมสมเด็จ การถือศักดินาของพระบรมวงศานุวงศ์ แตกต่างกันไปตามลำดับ ถ้าเป็นเจ้าฟ้าจะมีศักดินาสูงสุด หม่อมราชวงศ์จะมีศักดินาต่ำสุด แต่ถ้าทรงกรมก็มีศักดินาสูงกว่าเจ้านายในระดับเดียวกัน แต่มิได้ทรงกรม เช่น เจ้าฟ้าที่เป็นพระเชษฐาหรือพระอนุชาของพระมหากษัตริย์ถ้าไม่ได้ทรงกรมจะถือ ศักดินา 20,000 ไร่ ถ้าทรงกรมจะถือศักดินาถึง 50,000 ไร่ตามลำดับ สิทธิตามกฏหมายของพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งมีสิทธิอยู่ 2 ประการ คือ จะพิจารณาคดีของพระบรมวงศานุวงศ์ในศาลใดๆ ไม่ได้นอกจากศาลของกรมวัง และ จะนำพระบรมวงศานุวงศ์ไปขายเป็นทาสไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่จะไม่ยอมให้กระทำสัญญาซื้อขายเช่นนั้นได้อย่างถูกต้องตาม กฏหมาย<br />3. ขุนนาง<br />คือ บุคคลที่รับราชการแผ่นดิน มีศักดินา ยศ ราชทินนาม และตำแหน่ง เป็นเครื่องชี้บอกถึงอำนาจและเกียรติยศ ขุนนางเปรียบเหมือนข้าราชการของแผ่นดิน แต่ข้าราชการแผ่นดินบางคนจะไม่ได้มีฐานะเป็นขุนนางก็ได้ เพราะการเป็นขุนนางต้องขึ้นอยู่กับศักดินาของตนด้วย ผู้มีศักดินา 400 ไร่ขึ้นไปถึงได้เป็นขุนนาง ยกเว้นพวกมหาดเล็กเพราะถือว่าพวกนี้เป็นขุนนางอยู่แล้ว<br />การลำดับยศของขุนนาง ยศของขุนนางมี 7 ลำดับ จากสูงสุดไปต่ำสุดดังนี้ สมเด็จเจ้าพระยา เจ้าพระยา พระ หลวง ขุน หมื่น และ พัน ศักดินาของสมเด็จเจ้าพระยาอยู่ในระดับ 30,000 ไร่ นับว่าสูงสุดในบรรดาขุนนางทั้งหลาย ส่วนพันถือศักดินา 100-400 ไร่ หมื่นถือศักดินา 200-800 ไร่ ขุนถือศักดินา 200-1,000 ไร่ สำหรับขุนนางที่มียศเป็นหลวงขึ้นไป มีศักดินาไม่ต่ำกว่า 800 ไร่ขึ้นไป แสดงว่าผู้เป็นพัน หมื่น ขุนอาจมีสิทธิไม่ได้เป็นขุนนางก็ได้ ถ้าศักดินาของตนเองไม่ถึง 400 ไร่ และอาจมีสิทธิเป็นขุนนางได้ถ้ามีศักดินาถึง 400 ไร่ขึ้นไป สิทธิตามกฏหมายของพวกขุนนาง เช่น ได้รับการยกเว้นจากการเกณฑ์แรงงานไปใช้ โดยการยกเว้นนี้ต่อเนื่องไปถึงบุตรของขุนนางด้วย แต่ถ้าผู้ใดเป็นข้าราชการมีศักดินาไม่ถึง 400 ไร่ก็จะได้รับเอกสารยกเว้นการเกณฑ์แรงงานเป็นรายบุคคล แต่เอกสารนี้มิได้คลุมไปถึงลูกของข้าราชการเหล่านั้น สำหรับผู้ที่มีศักดินา 400 ไร่ขึ้นไป จะได้รับสิทธิเข้าเฝ้าในการเสด็จออกขุนนาง และได้รับอนุญาตให้ผู้อื่นขึ้นศาลแทนตนได้ เป็นต้น<br />4. ไพร่<br />ฐานันดรไพร่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีสภาพไม่แตกต่างจากสมัยอยุธยา ไพร่ถูกมูลนายเอาชื่อเข้าบัญชีไว้ เพื่อเกณฑ์แรงงานไปใช้ในราชการต่างๆ ด้วยเหตุนี้ไพร่จึงต้องสังกัดอยู่กับเจ้าขุนมูลนายที่ตนสมัครอยู่ด้วยและถ้า เจ้าขุนมูลนายของตนสังกัดอยู่กรมกองใด ไพร่ผู้นั้นก็ต้องสังกัดในกรมกองนั้นตามเจ้านายด้วย<br />ไพร่อาจแบ่งประเภทตามสังกัดได้เป็น 2 ประเภท คือ ไพร่หลวงและไพร่สม ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน ดังนี้<br />ไพร่หลวง หมายถึง ไพร่ที่พระราชทานแก่กรมกองต่างๆ เป็นไพร่ของพระมหากษัตริย์โดยตรง หน้าที่ของไพร่หลวงจึงแตกต่างกันไปตามหน้าที่ที่ระบุไว้ของแต่ละกรมกอง ดังนั้นไพร่หลวง จึงอยู่ในกรม 2 ประเภท คือ ไพร่หลวงที่ต้องมารับราชการตามที่ทางราชการกำหนดไว้ หากมาไม่ได้ต้องให้ผู้อื่นมาแทนหรือส่งเงินแทนการรับราชการ ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้โปรดเกล้าฯให้ไพร่หลวงเปลี่ยนเป็นอยู่เวรรับราชการปีละ 4 เดือน คือ เข้าเวร 1 เดือน ออกเวร 2 เดือน ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 2 ทรงลดเวลารับราชการของไพร่หลวงลงอีกจาก 4 เดือน เป็น 3 เดือนต่อปี คือเข้าเวร 1 เดือน ออกเวร 3 เดือน ไพร่หลวงที่ต้องเสียเงิน แต่ไม่ต้องมารับราชการ ซึ่งเรียกว่า ไพร่หลวงส่วย ไพร่สม หมายถึง ไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แก่เจ้านายและขุนนางที่มีตำแหน่งทำราชการเพื่อเป็นผลประโยชน์ เนื่องจากในสมัยก่อนนั้นยังไม่มีเงินเดือน การควบคุมไพร่ของมูลนายจึงหมายถึงการได้รับผลประโยชน์ตอบแทน เช่น ได้รับส่วนลดจาการเก็บเงินค่าราชการ หรือได้รับของกำนัลจากไพร่ เป็นต้น ไพร่สมนั้นจะตกเป็นของมูลนายตราบเท่าที่ขุนนางผู้เป็นมูลนายยังมีชีวิตอยู่ ในตำแหน่งราชการ เมื่อมูลนายถึงแก่กรรม ไพร่สมจะถูกโอนมาเป็นไพร่หลวง นอกจากบุตรของขุนนางผู้นั้นจะยื่นคำร้องขอควบคุมไพร่สมต่อจากบิดา<br />ไพร่สามารถเปลี่ยนแปลงฐานะของตนเองได้ใน 2 กรณี คือ ถ้าทำความดีความชอบอย่างสูงต่อแผ่นดิน อาจได้รับเลื่อนฐานะเป็นขุนนางได้ แต่ถ้ามีความผิดหรือเป็นหนี้สินต่อนายเงิน ก็จะต้องตกเป็นทาสได้เช่นกัน<br />ในเรื่องความเป็นอยู่ของไพร่นั้น ไพร่หลวงจะมีฐานะลำบากที่สุด ส่วนไพร่ส่วยสบายที่สุด เพราะในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไพร่หลวงจะถูกเกณฑ์แรงงานเพื่อเข้ารับราชการ ทั้งในยามสงครามและยามสงบปีละ 3 เดือน ส่วนไพร่สมก็มีหน้าที่รับใช้มูลนายเป็นส่วนใหญ่ ไพร่สมจึงทำงานเบากว่าไพร่หลวง<br />5. ทาส<br />หมาย ถึง บุคคลที่มิได้มีกรรมสิทธิ์ในแรงงานและชีวิตของตนเอง แต่กลับตกเป็นของนายจนกว่าจะได้รับการไถ่ตัวพ้นจากความเป็นทาส นายมีสิทธิ์ในการซื้อขายทาสได้ ลงโทษทุบตีทาสได้ แต่จะให้ถึงตายไม่ได้ ทาสมีศักดินาเพียง 5 ไร่เท่านั้น<br />การแบ่งประเภทของทาส ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ทาสคงมีอยู่ 7 ประเภทเช่นเดียวกับสมัยอยุธยา ได้แก่ ทาส ไถ่มาด้วยทรัพย์,ลูกทาสที่เกิดในเรือนเบี้ย,ทาสที่ได้มาข้างฝ่ายบิดามารดา, ทาสมีผู้ให้,ทาสอันได้ช่วยกังวลธุระทุกข์ด้วยคนต้องโทษทัณฑ์,ทาสที่เลี้ยง เอาไว้ในเวลาข้าวยากหมากแพง,และทาสเชลย ทาสเหล่านี้อาจไม่ยอมขอทานเพราะถือว่าเป็นเรื่องน่าอับอาย จึงยอมขายตัวลงเป็นทาส การหลุดพ้นจากความเป็นทาส ทาสมีโอกาสได้รับการปลดปล่อยให้หลุดพ้นจากความเป็นทาส ในกรณีต่อไปนี้ - ถ้านายเงินอนุญาตให้ทาสบวชเป็นพระภิกษุหรือสามเณรหรือนางชี ก็ถือว่าหลุดพ้นจากความเป็นทาส แม้ภายหลังจะลาสิกขาบทแล้ว ก็จะเอาคืนมาเป็นทาสของตนไม่ได้ - ในกรณีนายเงินใช้ทาสไปทำสงครามและทาสถูกจับเป็นเชลย ต่อมาหนีรอดมาได้ก็หลุดพ้นจากความเป็นทาส ถ้าทาสฟ้องนายว่าเป็นกบฏและสวบสวนได้ว่าเป็นจริง ให้ทาสนั้นพ้นจากความเป็นทาสได้ - นายเงิน พ่อของนายเงิน หรือพี่น้องลูกหลานของนายเงิน ได้ทาสเป็นภรรยา ให้ทาสนั้นเป็นไท และลูกที่เกิดมานั้นเป็นไทด้วย ถ้าทาสนั้นตายด้วยการทำธุรกิจใดๆ ให้แก่นายเงิน นายเงินจะเรียกเอาเงินคืนจากผู้ขายไม่ได้ แต่ถ้าตายด้วยเหตุอื่นนายเงินจะเรียกเอาเงินคืนจากผู้ขายได้บ้าง เป็นอิสระด้วยการไถ่ตัว อาจจะเป็นผู้ขอไถ่ตัวเอง หรือมีบุคคลใดก็ได้มาไถ่ให้เป็นอิสระ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ภายหลังจากการสร้างกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว ทาสจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พวกทาสได้เพิ่มจำนวนมาก และคาดว่าผู้ที่เป็นทาสนั้นมีจำนวนถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด ส่วนใหญ่ยอมเป็นทาสเพราะปัญหาซึ่งมีหนี้สินเป็นจำนวนมากที่สุด ทั้งนี้เพราะพวกชาวบ้านเป็นจำนวนมากที่ต้องเป็นหนี้สินเนื่องจากเก็บเกี่ยว ไม่ได้ผล แต่ก็มีอีกเป็นจำนวนมากที่ยอมขายตัวเพื่อจะได้ไม่ต้องถูกเกณฑ์ไปทำงาน<br />นอกจากนี้สถาบันสงฆ์ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสังคมไทย ซึ่งพระมหากษัตริย์ ขุนนาง ไพร่ ทาส อาจเปลี่ยนสถานภาพจากฆราวาสมาเป็นพระภิกษุในสถาบันสงฆ์ได้ และผู้เป็นพระสงฆ์จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเกณฑ์แรงงาน<br />พระสงฆ์จะเป็นผู้ได้รับความเคารพนับถือจาก คนไทยทุกระดับชั้น ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ลงมาจนถึงไพร่และทาส แต่ในบางครั้งเมื่อสถาบันพระสงฆ์เสื่อมโทรมด้วยข้อวัตรปฏิบัติ พระมหากษัตริย์จะทรงเอาเป็นพระธุระเพื่อปรับปรุงแก้ไข และทำการปฏิรูปคณะสงฆ์ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งขึ้น ดังเช่น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงออกกฏหมายพระสงฆ์เพื่อควบคุมให้พระสงฆ์มีความบริสุทธิ์ เป็นต้น<br />สำหรับคนต่างด้าวที่เข้ามาพำนักอาศัยอยู่ใน ราชอาณาจักรมีอยู่ด้วยกันหลายพวก เป็นต้นว่า มอญ ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีน บางพวกก็หนีร้อนมาพึ่งเย็น บางพวกก็ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย ไม่ได้มีโอกาสกลับบ้านเมืองของตนเอง แต่ในบรรดาคนต่างด้าวที่เข้ามาพำนักอยู่ในราชอาณาจักรและมีผลกระทบอย่าง สำคัญต่อสังคมและเศรษฐกิจของไทยในสมัยนี้คือพวกคนจีน<br /><br /></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:180%;color:#ff0000;"><strong>พัฒนาการด้านศิลปวัฒนธรรม</strong></span></span></span></span><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><br />ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น นับว่าเป็นการสืบสานวัฒนธรรมไทยเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาให้กลับมาเจริญ รุ่งเรืองขึ้นใหม่ นอกจากนี้ก็มีการปรับปรุงเพิ่มเติมสิ่งใหม่ๆ ให้วัฒนธรรมไทยในยุคนี้ด้วย นับได้ว่าเป็นการธำรงรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมไทยที่มีมาแต่อยุธยาให้กลับเจริญ รุ่งเรือง หลังจากประสบกับวิกฤตการณ์สงครามสู้รบระหว่างไทยกับพม่ามาแล้ว<br />สภาพทางสังคมของไทยตั้งแต่อดีต ได้ผูกพันกับพระพุทธศาสนามาโดยตลอด ความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมจึงมีส่วนสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความเจริญ รุ่งเรืองทางศาสนาด้วย ศิลปกรรมและวรรณกรรมต่างๆ ที่บรรจงสร้างด้วยความประณีตก็เกิดจากแรงศรัทธาทางศาสนาทั้งสิ้น<br />1.การทำนุบำรุงทางด้านพระพุทธศาสนา<br />ในสมัยรัชกาลที่ 1 (พ.ศ.2325-2352) พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯให้ทำการสังคายนาพระไตรปิฏกที่วัดมหาธาตุยุวราชรัง สฤษดิ์ ใน พ.ศ.2331 โดยใช้เวลาประชุมกันประมาณ 5 เดือน ในสมัยรัชกาลที่ 2 (พ.ศ.2352-2367) พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้จัดงานพระราชกุศลอย่างใหญ่โตในวันวิสาขบูชา เหมือนดังที่เคยทำกันในสมัยอยุธยา คือ ทำบุญกันทั่วไปเป็นเวลา 3 วัน สัตว์ที่เคยถูกฆ่าเป็นอาหารนั้นโปรดให้ปล่อยให้หมดภายใน 3 วัน มิให้มีการฆ่าสัตว์โดยเด็ดขาด ในสมัยรัชกาลที่ 3 (พ.ศ.2367-2394) พระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมาก พระองค์ทรงทำนุบำรุงคณะสงฆ์ ตลอดจนทรงสร้างและปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปและวัดวาอารามมากมาย ในสมัยนี้ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและนิกายโปรเตสแตนต์ได้มีโอกาสเผยแผ่ ในประเทศไทยโดยพวกมิชชันนารี ทำให้คนไทยบางส่วนหันไปนับถือศาสนาคริสต์ ขณะเดียวกันในวงการพระพุทธศาสนาของไทยก็มีการเคลื่อนไหวที่จะปฏิรูปข้อ วัตรปฏิบัติของคณะสงฆ์ไทยให้สอดคล้องกับคำสอนในพระไตรปิฏก โดยเจ้าฟ้ามงกุฏ ซึ่งทรงผนวชมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 และได้เสด็จมาเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร (พ.ศ.2370-2394) ทรงเป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในการปฏิรูปครั้งนั้น จนกระทั่งได้ทรงตั้งนิกายใหม่ เรียกว่า "ธรรมยุติกนิกาย"<br />2. การทำนุบำรุงศิลปกรรม<br />การทำนุบำรุงด้านศิลปกรรมในสมัยรัชกาลที่ 1 ในบรรดาศิลปกรรมของไทยซึ่งรัชกาลที่ 1 ทรงให้ความสนพระทัยมากนั้น ได้แก่ บรรดาตึกรามต่างๆ ที่สร้างขึ้น ล้วนมีการตกแต่งลวดลายอย่างงดงามทั้งภายในและภายนอก ทั้งโดยปูนและโดยไม้แกะสลัก ตึกที่ทรงให้จัดสร้างขึ้นส่วนมากเป็นวัด เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีพระที่นั่งต่างๆ เช่น พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย, พระที่นั่งไพศาลทักษิณ, พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน, พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เป็นต้น รัชกาลที่ 1 ทรงสนพระทัยทางด้านวรรณคดี ดังนั้นในสมัยนี้จึงมีบทวรรณคดีที่สำคัญหลายเรื่อง เช่น รามเกียรติ์ นอกจากนี้ก็มีการแปลวรรณกรรมต่างชาติมาเป็นภาษาไทย เช่น หนังสือสามก๊ก ,ราชาธิราช เป็นต้น<br />การทำนุบำรุงด้านศิลปกรรมในสมัยรัชกาลที่ 2 ทรงสนพระทัยในเรื่องการก่อสร้างและตกแต่งตึกรามต่างๆ พระองค์โปรดเกล้าฯให้สร้าง "สวนขวา" ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ทรงริเริ่มสร้างพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม (แต่สร้างสำเร็จเรียบร้อยในสมัยรัชกาลที่ 3) พระปรางค์จะตกแต่งด้วยถ้วยและชามจีนซึ่งทุบให้แตกบ้าง แล้วติดกับฝาทำเป็นลวดลายรูปต่าง ๆ เช่น ดอกไม้ พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถทางด้านการแกะสลัก ดังจะเห็นได้จากประตูวัดพระเชตพนวิมลมังคลาราม ประตูวัดสุทัศน์เทพวราราม เป็นต้น รัชกาลที่ 2 โปรดการฟ้อนรำอย่างโบราณของไทยเป็นอันมาก ทั้งโขนและละคร ทรงปรับปรุงจังหวะและท่ารำต่างๆ โดยพระองค์เอง พระองค์โปรดให้มีพระราชนิพนธ์บทละครขึ้นใหม่ ทั้งที่เป็นเรื่องเดิมและเรื่องใหม่ หรือเอาเรื่องเดิมมาแต่งขึ้นใหม่ บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 มีทั้งหมด 7 เรื่อง เรื่อง"อิเหนา" เป็นเรื่องที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์เองตลอดทั้งเรื่อง ส่วนอีก 6 เรื่อง โปรดเกล้าฯ ให้กวีท่านอื่นๆ ร่วมงานด้วย<br />การทำนุบำรุงด้านศิลปกรรมในสมัยรัชกาลที่ 3 การผลิตงานทางด้านศิลปะในสมัยรัชกาลที่ 3 จัดว่ามีลักษณะเยี่ยมยอดในวงการศิลปะของไทยไม่แพ้ในสมัยอื่น ในสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงมุ่งซ่อมแซมและปรับปรุงปราสาทมากกว่าจะสร้างใหม่ โดยระมัดระวังรักษาแบบดั้งเดิมเอาไว้ พระองค์ทรงปฏิสังขรณ์และขยายเขตวัดวาอารามมากมาย ทรงสร้างวัดด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ขึ้น 5 วัด ให้เชื้อพระวงศ์และขุนนางสร้างอีก 6 วัด วัดสำคัญที่สร้างในสมัยนี้ได้แก่ วัดเทพธิดาราม,วัดราชนัดดา,วัดเฉลิมพระเกียรติ์,วัดบวรนิเวศวรวิหาร,วัดบวร สถาน,วัดประยูรวงศ์,วัดกัลยาณมิตร เป็นต้น สิ่งก่อสร้างมากมายที่เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมทางศาสนาของไทย เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ พระสถูป พระมลฑป หอระฆัง เป็นต้น โบสถ์และวิหารที่สร้างขึ้นมีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีหลังคาลาดเป็นชั้น มุงกระเบี้องสี ผนังก่ออิฐถือปูนประดับลวดลาย และมีเสาใหญ่รายรอบรับชายคา โบสถ์ขนาดใหญ่และสวยงามที่สร้างในรัชกาลนี้คือ โบสถ์วัดสุทัศน์เทพวราราม ซึ่งสร้างแบบสามัญ ส่วนโบสถ์วัดบวรนิเวศวรวิหารสร้างเป็นแบบมีมุขยื่นออกมาทั้งสองข้างทางด้าน ปลาย สถาปัตยกรรมแบบไทยอย่างอื่นๆ ที่มีความสำคัญรองลงมา คือ พระมณฑป ศาลา หอระฆัง และระเบียงโบสถ์ สิ่งก่อสร้างเหล่านี้มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 และเป็นงานที่ดีที่สุด คือ ระเบียงรอบพระวิหารที่วัดสุทัศน์เทพวราราม ซึ่งมีหน้าบันแกะสลักไว้อย่างงดงาม<br />ผลงานทางสถาปัตยกรรมอีกอย่างหนึ่งที่ได้ก่อสร้างไว้ บริเวณวัด และจัดอยู่ในจำพวกสิ่งก่อสร้างปลีกย่อยคือ เรือสำเภาซึ่งก่อด้วยอิฐ รัชกาลที่ 3 ทรงมีรับสั่งให้สร้างขึ้นเพื่อว่าในอนาคตเมื่อไม่มีการสร้างเรือสำเภากันอีก แล้ว ประชาชนจะได้แลเห็นว่าเรือสำเภานั้นมีรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร วัดที่พระองค์ทรงรับสั่งให้สร้างสิ่งอันเป็นประวัติศาสตร์นี้ คือ "วัดยานนาวา"<br />ในสมัยรัชกาลที่ 3 ภาพเขียนแบบไทยต่างๆ ส่วนมากไม่โดดเด่น ที่เขียนขี้นมาส่วนใหญ่เพื่อความมุ่งหมายในการประดับให้สวยงามเท่านั้น ส่วนงานช่างแกะสลักในสมัยรัชกาลที่ 3 ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องราวทางพระพุทธศาสนามากกว่างานช่างในสาขาจิตรกรรม โดยเฉพาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเครื่องบันดาลใจอันสำคัญยิ่งที่ก่อให้เกิดผลงานทางด้านศิลปะประเภทนี้<br />ทางด้านวรรณกรรม รัชกาลที่ 3 ทรงสนับสนุนวรรณคดีทางศาสนาและประวัติศาสตร์ ดังเช่น หนังสือเรื่อง "มลินทปัญญา" เป็นต้น แต่ในสมัยนี้ไม่สนับสนุนให้มีการแสดงละครภายในพระบรมมหาราชวัง ทั้งยังไม่โปรดปรานนักแสดงหรือนักประพันธ์คนใดเลย<br />กล่าวโดยสรุป ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น การทำนุบำรุงและฟื้นฟูทางด้านศิลปวัฒนธรรมได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 3 และการทำนุบำรุงก็กระทำโดยวิธีรักษารูปแบบเดิมไว้ตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มเติมสิ่งใหม่ๆ ผสมผสานเข้าไป</span> </span></span></span><div><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ด้วย ทำให้ศิลปวัฒนธรรมของไทยในยุคนี้เจริญรุ่งเรืองมาก</span></span></div><div><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><br /><span style="color:#000000;"></span></span><span style="font-size:130%;"><span style="font-family:times new roman;"></span></span></span></div><div><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="COLOR: rgb(32,32,32)"><p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; LINE-HEIGHT: 20pxfont-family:Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif;" ><b style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:180%;color:#ff0000;">พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ</span></b></p><p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; COLOR: rgb(32,32,32); LINE-HEIGHT: 20pxfont-family:Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif;" ><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"></span><strong style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">(1) เศรษฐกิจไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น<br /></span></strong><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ประชาชนส่วนใหญ่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีอาชีพหลัก คือ การทำกสิกรรม เป็นเศรษฐกิจแบบเลี้ยงตนเอง และมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ เช่น ประเทศจีน ชวา มลายู และประเทศตะวันตก<br /></span><strong style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"></span></strong><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">การค้ากับต่างประเทศส่วนใหญ่ค้าขายทางาทะเลโดยเรือสำเภา มีพระคลังสินค้าทำหน้าที่ผูกขาดการซื้อขายสินค้า รายได้ของแผ่นดินนั้นจะได้จากการเก็บภาษี 4 ประเภท เช่นเดียวกับสมัยอยุธยา คือ จังกอบ อากร ส่วย และฤชา<br /></span><strong style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"></span></strong><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สินค้าที่ส่งออกขายต่างประเทศส่วนใหญ่ ได้แก่ ข้าว น้ำตาล พริกไทย ดีบุก รังนก ฝาง และของอื่น ๆ ในพระคลังสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีการทำสัญญาทางการค้าระหว่างไทยกับอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2369 เรียกว่า สัญญาเบอร์นี และได้ทำสัญญากับสหรัฐอเมริกาในทำนองเดียวกัน จึงทำให้พ่อค้าต่างประเทศเข้ามาค้าขายในกรุงเทพ ฯ มากขึ้น ทำให้ไทยมีโอกาสส่งสินค้าออกได้มากขึ้น<br /><strong style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"></span></strong>ดังนั้นรายได้ของแผ่นดินในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้จากกิจการ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ภาษีอากรที่เก็บในประเทศและภาษีขาเข้ารวมทั้งการค้ากับต่างประเทศด้วย</span></p><p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; COLOR: rgb(32,32,32); LINE-HEIGHT: 20pxfont-family:Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif;" ><strong style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">(2) เศรษฐกิจไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปรับปรุงประเทศตามแบบตะวันตก<br />ในสมัยรัชกาลที่ 4 </span></strong><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#000000;">ไทยทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษ ทำให้การค้ากับต่างประเทศมีความคล่องตัว และมีเสรีทางการค้ามากขึ้น ทำให้ต่างประเทศพอใจ และส่งผู้แทนเข้ามาทำสัญญาการค้ากับไทยมากขึ้น<br /><strong style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"></span></strong>เนื่องจากวิธีการจัดบริหารด้านภาษีอากรของประเทศยังไม่มีประสิทธิภาพดีพอ จึงทำให้เงินรั่วไหลไปมาก <strong style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;">รัชกาลที่ 5</span></strong></span></span></span><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;"> ทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงวิธีจัดเก็บภาษีและวิธีการบริหารด้านภาษีอากรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พระองค์ทรงปฏิรูประบบเศรษฐกิจ และการคลังในระบบที่ชัดเจน ดังนี้<br /></span><strong style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"></span></strong><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">1) ยกเลิกระบบการเก็บภาษีอากรเดิม โดยการวางพิกัดอัตราเก็บภาษีเดียวกันทุกมณฑล และแต่งตั้งข้าหลวงคลังไปประจำทุกมณฑล เพื่อดูแลการเก็บภาษีให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย<br /></span><strong style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"></span></strong><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">2) ทำงบประมาณแผ่นดิน เพื่อควบคุมรายรับรายจ่ายของแผ่นดิน<br /></span><strong style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"></span></strong><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">3) ทำสนธิสัญญาพระราชไมตรีว่าด้วยการค้าขาย และพิกัดอัตราภาษีกับประเทศต่าง ๆ เพิ่มขึ้น<br /></span><strong style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"></span></strong><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">4) ประกาศเปลี่ยนใช้มาตรฐานเงินมาเป็นมาตรฐานทองคำ<br /></span><strong style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"></span></strong><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">5) พิมพ์ธนบัตรใช้เป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน พ.ศ. 2445<br /><strong style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"></span></strong>ผลจากการปฏิรูปเศรษฐกิจของรัชกาลที่ 5 ดังกล่าว ทำให้ระบบการเงินของไทยมีเสถียรภาพตามหลักมาตรฐานสากล และทำให้ประเทศไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น ฐานะการคลังมีความมั่นคงและสามารถพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นอีกด้วย</span></p><p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; COLOR: rgb(32,32,32); LINE-HEIGHT: 20pxfont-family:Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif;" ><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#000000;"><strong style="LINE-HEIGHT: 20px">ในสมัยรัชกาลที่ 6 </strong>เศรษฐกิจเริ่มตกต่ำ เนื่องจากเกิดอุทกภัยในปี พ.ศ. 2461 และเกิดฝนแล้งในปี พ.ศ. 2462 ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อการปลูกข้าว ทำให้ขาดแคลนข้าวที่จะบริโภค และที่เคยส่งออกขายในต่างประเทศ ทำให้รายได้ที่เคยได้รับจาการส่งข้าวออกลดต่ำลง</span></span></span></p><p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; COLOR: rgb(32,32,32); LINE-HEIGHT: 20pxfont-family:Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif;" ><strong style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ในสมัยรัชกาลที่ 7 </span></strong><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ทรงรัชภาระหลังจากสภาวะเศรษฐกิจาที่ตำต่ำมาในสมัยรัชกาลที่ 6 จึงทรงแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ประเทศมีรายจ่ายและรายรับสมดุลกัน จึงได้ดำเนินการ ดังนี้<br /></span><strong style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"></span></strong><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">1) ยุบตำแหน่งหน้าที่ที่ไม่จำเป็น และปลดข้าราชการบางตำแหน่ง เพื่อตัดทอนรายาจ่ายของรัฐบาล<br /></span><strong style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"></span></strong><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">2) ลดเงินที่จะรับเข้าพระคลังข้างที่ปีละ 4 ล้านบาท เพื่อตัดทอดรายจ่ายราชสำนักและส่วนพระองค์<br /></span><strong style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"></span></strong><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">3) เพิ่มการเก็บภาษีบางประเภท เช่น ภาษีเงินเดือน<br /><strong style="LINE-HEIGHT: 20px"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"></span></strong>การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของรัชกาลที่ 7 ยังไม่สามารถทำให้ฐานะการเงินของประเทศอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย เพราะราษฎรว่างงาน ข้าราชการที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งก็เกิดความไม่พอใจ ประกอบกับมีกลุ่มคนหนุ่มที่จบการศึกษาระดับสูงจากต่างประเทศและในประเทศมีความต้องการจะปฏิวัติ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยในปี พ.ศ. 2475</span></p><p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; COLOR: rgb(32,32,32); LINE-HEIGHT: 20pxfont-family:Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif;" ><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><br /><span style="color:#000000;"></span></span><span style="font-size:130%;"><span style="font-family:times new roman;"></span></span></p><p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; COLOR: rgb(32,32,32); LINE-HEIGHT: 20pxfont-family:Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif;" ><span class="Apple-style-span" style="COLOR: rgb(43,50,32); LINE-HEIGHT: normal"><strong><span style="COLOR: rgb(255,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:180%;color:#ff0000;">ความสัมพันธ์กับต่างประเทศสมัยรัตนโกสินทร์</span></span></strong></span></p><p><span class="Apple-style-span" style="COLOR: rgb(43,50,32); LINE-HEIGHT: normal"><span style="COLOR: rgb(255,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="FONT-WEIGHT: normal; COLOR: rgb(43,50,32)font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;" ></span></span></span><span style="COLOR: rgb(0,0,255)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ความสัมพันธ์กับล้านนา</span></span><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;"><br />ในสมัยรัชกาลที่ 1-3 ลักษณะความสัมพันธ์ยังเป็นมิตรที่ดีกับล้านนา</span></p><p><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สัมพันธไมตรีอันดีที่ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีอย่างต่อเนื่องกับล้านนา ทำให้รัชกาลที่ 5 สามารถผนวกล้านนาเข้าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทยได้ง่ายขึ้น</span></p><p><span style="font-size:130%;"><span style="color:#000000;"><span style="COLOR: rgb(0,0,255)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:large;">ความสัมพันธ์กับพม่า </span></span><br /><span style="font-family:times new roman;">สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยเฉพาะรัชกาลที่ 1 ไทยต้องรับมือกับการถูกบุกโจมตีอย่างหนักจากพม่า ถึงแม้ในบางช่วงพม่าจะส่งฑูตมาเจรจาขอเป็นไมตรีกับไทย แต่ก็ไม่ได้มีความจริงใจ เพียงต้องการตรวจสอบความพร้อมรบของฝ่ายไทยเท่านั้น</span></span></span></p><p><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สงครามครั้งใหญ่ที่สุดระหว่างไทยกับพม่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือ สงครามเก้าทัพ ในปี 2328 สมัยรัชกาลที่ 1 พม่าได้ส่งกองทัพเข้ามาโจมตีไทยพร้อมๆ กันหลายทาง แต่ผลักดันกองทัพพม่าให้ถอยกลับไปได้</span></p><p><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สมัยรัชกาลที่ 2 และสมัยรัชกาลที่ 3 แม้ความสัมพันธ์จะยังเป็นศัตรูกัน แต่การทำสงครามก็ค่อยๆ ลดน้อยลงตามลำดับเพราะพม่ามีปัญหาภายในต้องทำสงครามต่อสู้กับอังกฤษ</span></p><p><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ในปลายปี 2352 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 2 พม่าได้ยกทัพเข้ามาโจมตีหัวเมืองภาคใต้ ได้แก่ตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง ถลาง ระนอง กระบี่ ชุมพร แต่กองทัพไทยจากกรุงเทพฯ และกองทัพจากนครศรีธรรมราชมาช่วยกันขับไล่พม่าออกไปได้สำเร็จ</span></p><p><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สมัยรัชกาลที่ 3 ไทยก็ยังคงทำสงครามกับพม่าอยู่บ้าง แต่เป็นสงครามขนาดเล็ก เพื่อแย่งชิงการมีอิทธิพลเหนือหัวเมืองทางเหนือ คือ สงครามเมืองเชียงรุ่ง ในปี 2386 และสงครามเมืองเชียงตุงในปี 2392</span></p><p><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ผลจากการที่ไทยดำเนินความสัมพันธ์กับพม่าอย่างแข็งกร้าว ไม่ยอมจำนนต่อการรุกรานอย่างหนักจากพม่า นอกจากจะสามารถปกป้องราชอาณาจักรไว้ได้แล้ว ยังช่วยทำให้ผู้คนเกิดความมั่นใจว่าไทยสามารถจะรับมือกับการคุกคามจากพม่าได้ และพม่าจะไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของราชอาณาจักรอีกต่อไป</span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,255)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ความสัมพันธ์กับมอญ</span></span><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;"><br />ในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จะมีความสัมพันธ์แบบผูกไมตรี ช่วยเหลือมอญให้พ้นจากการถูกกดขี่ข่มเหงของพม่า</span></p><p><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สมัยรัชกาลที่ 1 ทรงนำกองทัพไทยไปช่วยพระยาทวายรบกับพม่าที่ครอบครองเมืองทวายเอาไว้ หลังจากปิดล้อมเมืองอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งก็โปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพกลับ เพราะทรงมีพระราชดำริว่า ถึงตีเมืองทวายได้ก็คงรักษาเมืองไว้ได้ไม่นาน เนื่องจากอยู่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ ตอนยกทัพกลับได้พาครอบครัวชาวมอญมายังกรุงเทพฯ ด้วย</span></p><p><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สมัยรัชกาลที่ 2 ชาวมอญไม่พอใจการปกครองอย่างกดขี่ของพวกพม่า ได้อพยพครอบครัวเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เมื่อปี 2357 และ 2358 รัชกาลที่ 2 ทรงให้ความอุปถัมถ์ โปรดเกล้าฯ ให้ชาวมอญที่เดินทางเข้ามาใหม่ ออกไปตั้งถิ่นฐานอยู่กับชุมชนมอญเดิมที่แขวงเมืองนนทบุรี ปทุมธานี และ</span><a style="COLOR: rgb(105,149,29); FONT-FAMILY: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; TEXT-DECORATION: none" href="http://www.tat.or.th/thai/tourinfo/central/samutprakan/mapcities.html"><span style="COLOR: rgb(0,128,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">เมืองนครเขื่อนขันธ์ (พระประแดง)</span></span></a></p><p><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ความสัมพันธ์กับหัวเมืองมอญยุติลงในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อเมืองมะริด ทวาย ตะนาวศรี ได้ตกไปอยู่ในอำนาจของอังกฤษ ไทยจึงหลีกเลี่ยงไม่เข้ายุ่งเกี่ยวกับหัวเมืองมอญ</span></p><p><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ผลจากความสัมพันธ์กับหัวเมืองมอญ นอกจากไทยจะได้กำลังผู้คนและความจงรักภักดีจากชาวมอญแล้ว ไทยยังได้หัวหน้ามอญไว้ใช้ในราชการและได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมบางประการจากชาวมอญมาด้วย</span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,255)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ความสัมพันธ์กับเขมร</span></span><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;"><br />ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเขมรจะเป็นด้านการทำสงครามและด้านการเมือง เพื่อขยายอิทธิพลเข้าไปครอบครอง ทั้งนี้เขมรจะเป็นดินแดนที่ไทยกับญวนต่างแข่งขันแย่งชิงอำนาจเข้าไปดูแลกันตลอดมา เขมรจึงเป็นเหมือนรัฐกันชนระหว่างไทยกับญวน</span></p><p><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สมัยรัชกาลที่ 1 ไทยมีบทบาทอย่างสำคัญในการจัดการดูแลปกครองเขมรให้เรียบร้อย โดยเป็นผู้แต่งตั้งกษัตริย์ที่ขึ้นครองเขมร ในปี 2325 เกิดความไม่สงบในเขมร พระยายมราช (แบน) จึงพา<span style="COLOR: rgb(0,0,153)"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;">นักองเอง </span></span>รัชทายาทเขมรลี้ภัยการเมืองเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งก็ทรงรับอุปการะชุบเลี้ยงอย่างดี เมื่อเหตุการณ์ในเขมรสงบ ราชสำนักไทยได้แต่งตั้งเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (เลื่อนบรรดาศักดิ์จากพระยายมราช) ไปเป็นผู้สำเร็จราชการชั่วคราว เมื่อนักองเองเจริญวัย ทางกรุงเทพฯ ก็แต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์เขมร ในปี 2337 ทรงพระนามว่า <span style="COLOR: rgb(0,0,102)"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;">สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี </span></span>ต่อมาเมื่อสิ้นพระชนม์ได้แต่งตั้งนักองจันทร์เป็นสมเด็จพระอุทัยราชาขึ้นครองราชย์สืบไป</span></p><p><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สมัยรัชกาลที่ 2 ลักษณะความสัมพันธ์ได้เปลี่ยนแปลงไปอีก เมื่อพระอุทัยราชาได้หันไปสนิทสนมกับญวนและแสดงท่าทีไม่ยอมรับอำนาจจากกรุงเทพฯ ทางราชสำนักไทยจึงแต่งตั้ง<span style="COLOR: rgb(0,0,153)"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;">นักองสงวน</span></span>เป็นพระมหาอุปโยราช (เทียบได้กับตำแหน่งวังหน้า) เพื่อไว้ถ่วงดุลอำนาจทางการเมืองของเขมร ซึ่งเขมรในระยะนี้ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการให้กับไทยและญวน</span></p><p><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สมัยรัชกาลที่ 3 ไทยพยายามแผ่อิทธิพลเข้าไปในเขมรอีก โดยเจ้าพระยาบดินทรเดชยกทัพไปตีเขมร ในปี 2376 และปี 2383 สามารถยึดเมืองหลวงที่พนมเปญไว้ได้ แต่ก็ถูกเจ้านายเขมรที่นิยมญวนได้ไปร่วมมือกับญวนทำการรบต่อต้านไทย ทำให้ไทยกับญวนต้องทำสงครามสู้รบกันต่อมาอีกหลายปี ในที่สุด ไทยกับญวนได้ร่วมมือกันแก้ไขข้อพิพาทร่วมกัน ตั้ง<span style="COLOR: rgb(0,0,102)"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;">นักองด้วงหรือพระหริรักษ์รามาธิบดี</span></span>ขึ้นเป็นกษัตริย์เขมร และให้เขมรจัดส่งบรรณาการให้ไทยกับญวนอย่างเท่าเทียมกัน ปัญหาเรื่องเขมรจึงยุติลง</span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,255)"><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#000000;">ความสัมพันธ์กับล้านช้าง (ลาว)<br /><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;">ล้านช้างหรือลาว ซึ่งนับว่าเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันนั้น ลักษณะความสัมพันธ์ที่ไทยมีต่อล้านช้างมีอยู่หลายลักษณะผสมผสานกัน คือ มีทั้งด้านความสัมพันธ์ในด้านการเมืองที่ไทยพยายามขยายอิทธิพลเข้าไปครอบงำ มีการผูกมิตรไมตรี และในบางช่วงมีความสัมพันธ์ด้านการทำสงครามทำศึกกัน</span></span></span></span></span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สมัยรัชกาลที่ 1 เชื้อพระวงศ์ของล้านช้างแย่งชิงอำนาจกันเอง และแตกแยกออกเป็น 3 ฝ่าย คือเวียงจันทน์ หลวงพระบาง และจำปาศักดิ์ แต่ละฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน แต่ทั้งหมดขึ้นตรงกับกรุงเทพฯ การที่ล้านช้างแตกแยกเป็น 3 ฝ่าย ทำให้ไทยสามารถสร้างความสัมพันธ์ด้วยการขยายอิทธิพลเข้าไปครอบงำได้ง่ายขึ้น ผสมผสานกับการผูกมิตรไมตรี เพื่อให้เกิดความจงรักภักดีอย่างยินยอมพร้อมใจ</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สมัยรัชกาลที่ 2 ไทยมีความสัมพันธ์อันดีกับเวียงจันทน์ โดยราชสำนักไทยเห็นว่าเจ้าอนุวงศ์ผู้ครองเมืองเวียงจันทน์มีความจริงใจและจงรักภักดีกับไทย จึงบำเหน็จความชอบให้เจ้าราชบุตร บุตรของเจ้าอนุวงศ์ไปครองเมืองสำคัญ คือ เมืองจำปาศักดิ์ ส่งผลให้เจ้าอนุวงศ์มีกำลังเข็มแข็งมาก</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สมัยรัชกาลที่ 3 ได้เกิดเหตุการณ์กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับล้านช้างอย่างรุนแรง เมื่อเจ้าอนุวงศ์ซึ่งมีความคิดจะรวมเอาเวียงจันทน์ หลวงพระบาง และจำปาศักดิ์ กลับมาเป็นอาณาจักรเดียวกัน แล้วปกครองตนเองอย่างอิสระไม่ขึ้นกับไทย ได้ยกทัพมากวาดต้อนผู้คนจากหัวเมืองทางอิสานของไทยใน ปี 2369</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">เหตุการณ์ครั้งนี้จึงทำให้เกิดวีรสตรีคนสำคัญคือ <span style="COLOR: rgb(0,0,153)"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;">คุณหญิงโม</span></span> ซึ่งภายหลังได้รับพระราชทานนามว่า <span style="COLOR: rgb(0,0,153)"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;">ท้าวสุรนาร</span></span>ี คือ เมื่อกองทัพของเจ้าอนุวงศ์มาถึงนครราชสีมา ก็ได้กวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สินเพื่อจะนำกลับไปเวียงจันทน์ ขณะนั้นเจ้าเมืองนครราชสีมาไปราชการที่อื่น แต่ชาวเมืองก็ได้</span><a style="COLOR: rgb(105,149,29); FONT-FAMILY: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; TEXT-DECORATION: none" href="http://www.moc.go.th/opscenter/nm/Province/Yamo1.htm"><span style="COLOR: rgb(0,128,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">คุณหญิงโม</span></span></a><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">เป็นผู้นำชาวเมืองรวบรวมกำลังผู้คนต่อสู้กับทหารลาวจนแตกพ่ายไป ขณะเดียวกันทางกรุงเทพฯ ก็จัดส่งกองทัพขึ้นมาปราบ ช่วยปลดปล่อยหัวเมืองภาคอีสานที่ถูกทหารเจ้าอนุวงศ์ยึดไว้และตามไปโจมตีจนถึงดินแดนลาว สามารถเข้ายึดเมืองเวียงจันทน์ไว้ได้</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สำหรับเจ้าอนุวงศ์ซึ่งหลบหนีไปอยู่กับญวน ภายหลังในปี 2370 ได้หวนย้อนนำกำลังมาโจมตีทหารไทยที่อยู่รักษาเมืองเวียงจันทน์แต่พ่ายแพ้และถูกจับกุมตัวได้</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">การก่อกบฏของเจ้าอนุวงศ์ในปี 2369 ทำให้ทางกรุงเทพฯ ดำเนินการปรับปรุงความสัมพันธ์กับล้านช้างใหม่ โดยเข้าไปกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดมากขึ้น</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span style="COLOR: rgb(0,0,255)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ความสัมพันธ์กับญวน (เวียดนาม)</span></span><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;"><br />สมัยรัชกาลที่ 1 ผลจากการที่ไทยให้การอุปการะและช่วยเหลือองเชียงสือมาตลอด ภายหลังเมื่อองเชียงสือขึ้นเป็นกษัตริย์ญวน จึงทำให้สัมพันธไมตรีกับญวนดำเนินไปด้วยดี</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ในปี 2326 องเชียงสือได้ทูลขอให้ไทยช่วยส่งกำลังไปปราบกบฏ ซึ่งรัชกาลที่ 1 ก็ทรงให้ความอนุเคราะห์ จึงส่งทหารไทยไปรบกับพวกไกเญิน ถึงแม้จะปราบไม่ได้ แต่ก็ทำให้องเชียงสือสำนึกในบุญคุณของไทย ดังนั้น เมื่อองเชียงสือรวบรวมแผ่นดินญวนได้เป็นปึกแผ่นและตั้งตนเป็นกษัตริย์ จึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญวนในช่วงนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่น</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สมัยรัชกาลที่ 2 ตอนต้นรัชกาล ไทยกับญวนก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จนกระทั้งถึงสมัยพระเจ้ามินหมาง ญวนได้ขยายอิทธิพลเข้าไปยังเขมรอีก จึงทำให้เกิดความขัดแย้งกับไทย แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องทำสงครามกัน</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ในสมัยรัชกาลที่ 3 ปัญหาเขมรขยายตัวลุกลามมากขึ้น ทั้งนี้เพราะญวนมีเป้าหมายที่จะครอบครองเขมรเพื่อกลืนชาติ รวมทั้งแสดงท่าทีแข็งกร้าวกับไทย ความสัมพันธ์กับญวนจึงเปลี่ยนมาเป็นศัตรู ทำสงครามต่อสู้กัน โดยไทยส่งทหารบุกไปตีเขมรยึดพนมเปญไว้ได้ในปี 2376 และเลยไปตีเมืองไซ่ง่อนด้วย</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ปัญหาการแย่งชิงอำนาจในการครอบครองเขมร ทำให้ไทยต้องทำศึกสงครามกับญวนต่อมาอีกหลายปี โดยไม่มีฝ่ายใดได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาด ภายหลังเมื่อญวนเกิดข้อพิพาทกับฝรั่งเศส จึงได้เปิดการเจรจากับไทย สามารถยุติสงครามระหว่างกันได้ในปี 2388 หลังจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญวนก็ยุติลงอย่างเป็นทางการ เพราะญวนได้ตกไปเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span style="COLOR: rgb(0,0,255)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ความสัมพันธ์กับหัวเมืองมลายู</span></span><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;"><br />สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ลักษณะความสัมพันธ์จะเป็นทางด้านการเมือง โดยไทยพยายามขยายอิทธิพลเข้าไปครอบครองทั้งทางด้านการผูกมิตรไมตรี และการทำสงครามในบางครั้ง</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สมัยรัชกาลที่ 1 ไทยได้หัวเมืองมลายูบางเมืองมาเป็นเมืองขึ้น คือ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปัตตานี ซึ่งหัวเมืองเหล่านี้ได้เข้าขออ่อนน้อมต่อไทยในปี 2328 รัชกาลที่ 1 จึงโปรดเกล้าฯ ให้ผู้ครองเมืองเดิมปกครองเมืองสืบต่อไป และมีอิสระในการบริหารกิจการบ้านเมืองของตน เพียงแต่ต้องแสดงความจงรักภักดีด้วยการส่งเครื่องราชบรรณาการ และต้นไม้เงิน ต้นไม้ทองมาให้ทางกรุงเทพ ทุกๆ 3 ปี สำหรับการกำกับดูแลหัวเมืองดังกล่าว ทรงใช้การถ่วงดุลอำนาจมอบให้เมืองนครศรีธรรมราชดูแลไทรบุรีกับกลันตัน และมอบให้เมืองสงขลาดูแลเมืองปัตตานีกับตรังกานู แต่สถานการณ์ในหัวเมืองมลายูก็มิได้สงบเรียบร้อยดีนัก โดยในปี 2334 เจ้าเมืองปัตตานีได้ส่งกองกำลังเข้าไปโจมตีเมืองสงขลา จนไทยต้องส่งกำลังไปปราบ และเพื่อมิให้ปัตตานีมีอำนาจมากเกินไป จึงแบ่งปัตตานีออกเป็น 7 เมือง ได้แก่ ปัตตานี หนองจิก สายบุรี ยะหริ่ง ยะรา รามันห์ และระแงะ ให้ทุกเมืองขึ้นตรงกับสงขลา</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับหัวเมืองมลายูตลอดสมัยรัชกาลที่ 2 และ 3 ก็มิได้ราบรื่นดีนัก ทั้งนี้เพราะหัวเมืองมลายูบางเมือง ถ้ามีโอกาสก็จะตั้งตนเป็นอิสระ ในตอนปลายสมัยรัชกาลที่ 2 เจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ก็ได้ตั้งตนเป็นอิสระ ทางกรุงเทพจึงมอบให้เจ้าพระยานครศรีธรรมราชยกทัพไปปราบ เจ้าพระยาไทรบุรีได้หลบหนีไปอยู่ที่เกาะหมาก (ปีนัง) ซึ่งไทรบุรีให้อังกฤษเช่า โดยที่ทางกรุงเทพฯ ไม่ทราบเรื่องราวการให้เช่าเกาะหมากมาก่อน อย่างไรก็ตาม อังกฤษก็ได้ส่งฑูตมาเจรจาเรื่องนี้กับไทยใน ปี 2365</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สมัยรัชกาลที่ 3 เมืองไทรบุรีได้ก่อกบฏขึ้นอีก 2 ครั้ง ใน ปี 2374 และ 2381 รวมไปถึงหัวเมืองอื่นๆ ด้วย เช่น ปัตตานี สายบุรี ยะลา กลันตัน ตรังกานู ก็ทำตามบ้าง ทางกรุงเทพฯ จึงส่งกองทัพไปปราบ เหตุการณ์ครั้งนี้มีผลทำให้รัชกาลที่ 3 ทรงจัดการปกครองหัวเมืองมลายูบางเมืองเสียใหม่ โดยเฉพาะไทรบุรีถูกแบ่งย่อยออกเป็น 4 เมือง ได้แก่ ไทรบุรี ปะลิส สตูล และกะบังปาสู</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">นับจากนี้ความสัมพันธ์กับหัวเมืองมลายูจึงราบรื่นขึ้น โดยไทยพยายามให้เจ้าเมืองที่ฝักใฝ่อยู่กับไทยไปเป็นผู้ปกครองเพื่อจะได้ป้องกันมิให้เกิดข้อขัดแย้งเกิดขึ้น</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span style="COLOR: rgb(0,0,255)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ความสัมพันธ์กับจีน</span></span><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;"><br />ลักษณะความสัมพันธ์ยังเป็นแบบเช่นเดิม คือ เป็นการค้าใน<span style="COLOR: rgb(0,0,153)"><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;">ระบบรัฐบรรณาการ </span></span>ได้รับการฟื้นฟูและพัฒนาจนขยายตัวมากขึ้น หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชส่งฑูตไปเยือนจีน และทางราชสำนักจีนให้การยอมรับแล้ว ไทยก็ส่งฑูตนำเครื่องบรรณาการไปถวายจักรพรรดิจีน รวมทั้งหมด 52 ครั้ง ในช่วงระยะเวลาเพียง 69 ปี (พ.ศ.2325-2394)</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">เหตุผลที่ทำให้สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นไทยส่งฑูตไปยังจีนบ่อยครั้ง เพราะได้รับผลประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางการค้าที่ทางการจีนมอบให้ ทำให้สามารถค้าขายได้สะดวก และได้รับผลกำไรตอบแทนงดงาม ซึ่งนอกจากราชสำนักไทยโดยกรมพระคลังสินค้าจะดำเนินการค้าขายกับจีนโดยตรงแล้ว บรรดาเชื้อพระวงศ์ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ พ่อค้าเอกชน ยังแต่งเรือสำเภาไปติดต่อค้าขายกับเมืองต่างๆ ของจีนอีกด้วย</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สมัยรัชกาลที่ 3 การค้ากับจีนยังคงเจริญรุ่งเรืองอยู่ในช่วง 10 ปีแรกของรัชกาล แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ซบเซา อันเป็นผลมาจากปัจจัยภายในประเทศทังของไทยและของจีน คือ ไทยให้ความสนใจมุ่งการค้ากับชาติตะวันตก ขณะที่จีนก็มีปัญหาความมั่นคงต้องรับมือกับการคุกคามของชาติตะวันตก</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ผลจากการติดต่อสร้างสัมพันธไมตรีกับจีน นอกจากได้รับผลประโยชน์ตอบแทนทางการค้าแล้ว ยังทำให้จีนบางส่วนอพยพโยกย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในราชอาณาจักรไทย อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยทางอ้อม รวมทังยังให้วัฒนธรรมจีนเผยแพร่มาสู่กรุงรัตนโกสินทร์มากขึ้นด้วย</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span style="COLOR: rgb(0,0,255)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ความสัมพันธ์กับโปรตุเกส</span></span><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;"><br />โปรตุเกสเป็นตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักไทย โดยลักษณะความสัมพันธ์จะเป็นเรื่องการผูกไมตรีและติดต่อค้าขาย</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สมัยรัชกาลที่ 1 มีการเจริญสัมพันธไมตรีอย่างปกติธรรมดาเท่านั้น การติดต่อค้าขายระหว่างกันมีน้อยมาก โดยชาวโปรตุเกสชื่อ อันโตนีโอ วิเสน เป็นผู้นำสาสน์จากทางการโปรตุเกสมาถายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อปี 2329 เพื่อขอผูกไมตรีกับไทย ซึ่งรัชกาลที่ 1 ก็ทรงต้อนรับ และมีพระราชสาสน์ตอบกลับไป</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ช่วงรัชกาลที่ 2 ความสัมพันธ์ของไทยกับโปรตุเกสมีความแน่นแฟ้นมากขึ้น มีการติดต่อทางการฑูตและทำสัญญาระหว่งกัน โดยในปี 2361 ผู้สำเร็จราชการโปรตุเกสที่เกาะมาเก๊า ได้ส่ง การ์ลูส มานูเอล ดา ซิลเวย์รา นำเครื่องราชบรรณาการและพระราชสาสน์ของกษัตริย์โปรตุเกสมาถวายรัชกาลที่ 2 เพื่อขอเจริญสัมพันธไมตรี ไทยก็ให้การต้อนรับอย่างดี เพราะเห็นว่าโปรตุเกสช่วยอำนวยความสะดวกแก่เรือกำปั่นหลวงที่เดินทางไปค้าขายที่มาเก๊า รวมทั้งไทยยังต้องการซื้อปืนใหญ่จากโปรตุเกสเอาไว้ใช้ป้องกันพระนครด้วยจึงยินดีที่จะเป็นมิตรกับโปรตุเกส</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ต่อมาในปี 2363 ผู้สำเร็จราชการโปรตุเกสที่เมืองกัว ในอินเดีย ได้ร่างสัญญาทางพระราชไมตรีในนามของกษัตริย์โปรตุเกส มอบให้การ์ลูส มานูเอล ดา ซิลเวย์ราเข้ามาถวายโดยขอซิลเวียราเป็นกงสุลโปรตุเกสประจำกรุงเทพฯ ขอพระราชทานที่ดินและอาคารให้กงสุลได้พักอาศัย และขอปักธงโปรตุเกสที่สถานกงสุลด้วย ซึ่งรัชกาลที่ 2 ก็โปรดเกล้าฯ พระราชทานตามที่ขอ พร้อมแต่งตั้งให้ซิลเวย์รามีบรรดาศักดิ์เป็น หลวงอภัยพาณิช</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ความสัมพันธ์กับโปรตุเกสนับจากนี้ไปจนตลอดรัชกาลที่ 3 ก็ยังคงเป็นความสัมพันธ์ทางการฑูตและการติดต่อค้าขาย ซึ่งก็มีปริมาณการค้าไม่มากนัก</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span style="COLOR: rgb(0,0,255)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ความสัมพันธ์กับอังกฤษ</span></span><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;"><br />สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อังกฤษได้ส่งฑูตเข้ามาเจรจาทางการค้าเป็นระยะๆ และได้จัดทำสัญญากับไทย เพื่อให้ตนได้ผลประโยชน์มากที่สุด</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ในปี 2364 มาควิส เฮสติงส์ ผู้สำเร็จราชการอังกฤษที่อินเดีย ได้แต่งตั้ง จอห์น ครอว์เฟิร์ด เป็นฑูตเดินทางเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี และเจรจาเรื่องการค้ากับไทยแต่ประสบความล้มเหลว เพราะมีปัญหาหลายประการที่เจรจาตกลงกันไม่ได้ เช่น อังกฤษตั้งเงื่อนไขการขายอาวุธปีนกับไทยไว้มาก ไทยยอมผ่อนปรนลดอัตราการจัดเก็บภาษีขาเข้าขาออก แต่ขอให้อังกฤษค้ำประกันจำนวนเรือสินค้าที่จะเข้ามาค้าขาย แต่อังกฤษไม่ยอมรับรอง และปัญหาเรื่องเมืองไทรบุรี ซึ่งไทยถือว่าเป็นเรื่องกิจการภายในราชอาณาจักรจึงไม่ยอมนำหัวข้อนี้มาเจรจา</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ถึงแม้การเจรจาครั้งนี้ไม่สำเร็จ แต่ก็มีเรือสินค้าอังกฤษเข้ามาติดต่อค้าขายกับไทยมากขึ้น ซึ่งไทยก็เปิดให้มีการค้าขายอย่างสะดวกตามระเบียบกฏเกณฑ์ที่ทางการไทยกำหนดไว้</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ต่อมาในปี 2368 สมัยรัชกาลที่ 3 ลอร์ด แอมเฮิร์ส ผู้สำเร็จราชการอังกฤษที่อินเดียคนใหม่ ได้ส่งร้อยเอกเฮนรี่ เบอร์นี่ เดินทางเข้ามาเจรจากับราชสำนักไทย ใช้เวลาเจรจาถึง 5 เดือน ในที่สุดไทยกับอังกฤษก็สามารถทำสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์ (เรียกสั้นๆ ว่าสนธิสัญญาเบอร์นี่) ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2369 ขึ้นมาได้ ซึ่งมีสาระสำคัญบางประเด็น เช่น ไทยจะจัดเฏ็บภาษีในอัตราที่แน่นอนตามความกว้างของปากเรือ ห้ามอังกฤษนำฝิ่นเข้ามาค้าขาย การค้าข้าวจะซื้อขายกันได้แต่จากพระคลังสินค้าเท่านั้น คนในบังคับอังกฤษเมื่อเข้ามาในราชอาณาจักรต้องปฏิบัติตามกฏหมายไทย อังกฤษยอมรับอธิปไตยของไทยเหนือเมืองไทรบุรี กลันตัน และตรังกานู</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สัญญาเบอร์นี่ อังกฤษได้รับประโยชน์จากการค้า ส่วนไทยได้รับความเสมอภาคและการมีอำนาจเหนือหัวเมืองมลายูบางเมือง</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">อย่างไรก็ดี บรรดาพ่อค้าอังกฤษต่างก็ไม่พอใจสัญญาฉบับนี้ เพราะเห็นว่า เฮนรี เบอร์นี อ่อนข้อให้กับราชสำนักไทยมากเกินไป ดังนั้นในปี 2393 ตอนปลายสมัยรัชกาลที่ 3 อังกฤษจึงส่งเซอร์ เจมส์ บรูค เดินทางเข้ามาขอแก้ไขสัญญาเบอร์นี่กับไทย ซึ่งอังกฤษต้องการให้ไทยยกเลิกระบบการผูกขาดการค้าโดยพระคลังสินค้า ขอให้ไทยลดภาษีปากเรือจากวาละ 1,700 บาท เหลือ 500 บาท และห้ามเก็บค่าธรรมเนียมอื่นใดอีก ขอให้กงสุลอังกฤษเข้ามาร่วมพิพากษาคดีความที่เกิดกับคนในบังคับอังกฤษ รวมทั้งขอสิทธิพิเศษอีกหลายข้อ ซึ่งล้วนแต่เป็นประโยชน์กับอังกฤษทั้งสิ้น ขณะที่ไทยเห็นว่าข้อตกลงในสัญญาเบอร์นี่ มีความเหมาะสม อังกฤษได้รับผลประโยชน์มากอยู่แล้ว ถ้าไทยยอมแก้ไขสัญญาให้สิทธิพิเศษแก่อังกฤษมากไป จะทำให้ชาติอื่นๆ ถือเป็นแบบอย่าง ทำตามอังกฤษบ้าง ดังนั้น การเจรจาจึงไม่ประสบผลสำเร็จ เมื่อเซอร์ เจมส์ บรูค กลับไปถึงสิงคโปร์ ได้เสนอให้รัฐบาลอังกฤษใช้กำลังทหารบีบบังคับไทยให้ยอมแก้ไขสัญญา แต่รัฐบาลอังกฤษไม่เห็นชอบ ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับอังกฤษจึงเป็นไปตามสนธิสัญญาเบอร์นีที่จัดทำขึ้นในปี 2369</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span style="COLOR: rgb(0,0,255)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา</span></span><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;"><br />ไทยกับสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์ต่อกันทางด้านการค้า และวัฒนธรรม ฝ่านคณะมิชชันนารีที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ชาวอเมริกันเริ่มเข้ามาติดต่อกับไทยเป็นครั้งแรก ในปี 2361 ตรงกับรัชกาลที่ 2 เมื่อกัปตันเฮล นำปืนคาบศิลาจำนวน 500 กระบอก มาจำหน่ายให้ไทย ซึ่งกำลังต้องการอาวุธไว้ต่อสู้กับพม่า รัชกาลที่ 2 ทรงพอพระทัย จึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นหลวงภักดีราชกปิตัน</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ในสมัยรัชกาลที่ 3 ชาวอเมริกันได้เดินทางเข้ามายังราชอาณาจักรไทยมากขึ้น โดยเฉพาะคณะมิชชันนารีอเมริกันที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ ได้สร้างคุณประโยชน์ให้กับสังคมด้วย เพราะคณะมิชชั่นนารีช่วยนำวิทยาการสมัยใหม่มาเผยแพร่ให้คนไทย นอกเหนือไปจากการสอนศาสนา ตัวอย่างเช่น </span><a style="COLOR: rgb(105,149,29); FONT-FAMILY: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; TEXT-DECORATION: none" href="http://www.thaistudy.chula.ac.th/pinitthai/doctorbradlay.html"><span style="COLOR: rgb(0,128,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">หมอบรัดเลย์</span></span></a><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">เป็นผู้นำความรู้ด้านการพิมพ์มาเผยแพร่ ทำให้การจัดทำหนังสือ เอกสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีการออกหนังสือพิมพ์ตามแบบตะวันตก อาทิ บางกอกรีคอร์เดอร์ บางกอกกาเลนเดอร์ รวมทั้งนำความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ ได้แก่ การฉีดวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรค การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ มาเผยแพร่ให้กับคนไทย เป็นต้น</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">สำหรับสัมพันธไมตรีทางด้านการค้า สหรัฐอเมริกาได้ส่ง เอ็ดมัน โรเบิร์ตส์ เข้ามาถวายสาสน์ของประธานาธิบดีแอนดรูว์ แจ็คสัน ต่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจรจาทางการค้ากับไทย ซึ่งสามารถตกลงกันได้และลงนามในเดือนมีนาคม 2375 ซึ่งมีสาระสำคัญคล้ายคลึงกับสัญญาเบอร์นีที่ไทยเคยทำกับอังกฤษ เช่น พ่อค้าอเมริกันมีเสรีภาพในการซื้อขายสินค้าต่งๆ ยกเว้นสินค้าต้องห้าม, ไทยจะเรียกภาษีตามความกว้างของปากเรือ วาละ 1700 บาท สำหรับเรือที่บรรทุกสินค้าเข้ามาจำหน่ายและ 1500 บาท สำหรับเรือเปล่า แต่พ่อค้าอเมริกันห็นว่าสัญญาที่เอ็ดมันด์ โรเบิร์ตส์ ได้ทำกับไทยยังไม่สะดวกต่อการค้าขาย เพราะสินค้าหลายอย่างถูกผูกขาดโดยกรมพระคลังสินค้า และไทยเรียกเก็บภาษีสูงเกินไป ดังนั้น ใน พ.ศ.2393 สหรัฐอเมริกาจึงส่งโจเซฟ บาเลสเตีย ซึ่งเป็นกงลุสประจำอยู่ที่สิงค์โปร์ เป็นฑูตเข้ามาเจรจาขอแก้ไขสนธิสัญญากับไทย โดยสหรัฐอเมริกาขอให้ไทยยกเลิกการจัดเก็บภาษีปากเรือ ให้เก็บโดยวิธีอื่น และขอตั้งสถานกงสุลหรือผู้แทนการค้าในกรุงเทพฯ</span></span></p><p><span style="COLOR: rgb(0,0,0)"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;">ผลการเจรจาครั้งนี้ไม่สามารถตกลงกันได้ เพราะไทยยอมรับเงื่อนไขได้เพียงบางข้อ และไม่เต็มใจที่จะแก้ไขสัญญาทั้งหมด เพราะจะทำให้ชาติอื่นขอทำตามอย่างบ้าง ขณะเดียวกันไทยก็วิตกต่อการแพร่ขยายอิทธิพลของชาติตะวันตก เกรงว่าการแก้ไขสัญญาจะทำให้ชาติตะวันตกเข้ามามีบทบาทในดินแดนไทยมากขึ้น</span></span></p></span><p><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#000000;"></span></p></span></span></div>★♫♬♪❤→B A N K _ F R E E D O M←❤♪♫♬★http://www.blogger.com/profile/06142180092029955884noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24627727029158635.post-36967142184338900962010-09-12T03:20:00.000-07:002010-09-12T04:32:05.794-07:00การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย พ.ศ. 2475<span style="color:#000000;"></span><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEim4Ckro3DM12Ek_5hX87WYwi2xswUaAA4laFjMMzZThh9tETunfpBI5IfSRet-9RwtG2a88jW-_x6ZcYzw50K8Z-nP2GTEaC65lAE79PLEpovo81R33t2TAin9yZ71rS0i3JnjUrGBSUA/s1600/Ac_democracymonument-.jpg"><span style="color:#000000;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5515970564188605298" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 294px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEim4Ckro3DM12Ek_5hX87WYwi2xswUaAA4laFjMMzZThh9tETunfpBI5IfSRet-9RwtG2a88jW-_x6ZcYzw50K8Z-nP2GTEaC65lAE79PLEpovo81R33t2TAin9yZ71rS0i3JnjUrGBSUA/s400/Ac_democracymonument-.jpg" border="0" /></span></a><span class="Apple-style-span" style="COLOR: rgb(255,255,255);font-family:Tahoma;font-size:medium;" ><span style="color:#000000;"> </span><p align="justify"><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"></span></span></span></p><p align="justify"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"><span lang="th"></span><span style="color:#000000;">ภายหลังการปฏิรูปการปกครองและการปฏิรูปการศึกษาในรัชกาลที่ 5 พระองค์ได้มีกระแสความคิดที่จะให้ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบการปกครองที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ โดยมีรัฐสภาเป็นสถาบันหลักที่จะให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองมากขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งได้มีคณะนายทหารชุดกบ</span></span></span><span style="color:#000000;"><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">ฏ</span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"> ร.ศ.130 ซึ่งมีความคิดที่ปฏิบัติการให้บรรลุความมุ่งหมายดังกล่าว แต่ไม่ทันลงมือกระทำการก็ถูกจับได้เสียก่อนเมื่อ พ.ศ.2454 ในต้นรัชกาลที่ 6</span></span></span><span style="color:#000000;"><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"><br /></span></span><span class="Apple-style-span"></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">อย่างไรก็ตาม เสียงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ยังคงมีออกมาเป็นระยะๆ ทางหน้าหนังสือพิมพ์ แต่ยังไม่ผลต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ มากนัก นอกจากการปรับตัวของรัฐบาลทางด้านการเมืองการปกครองให้ทันสมัยยิ่งขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น แต่ก็ยังไม่ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกคร</span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">อ</span></span></span></span><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">งประเทศแต่ประการใด จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีคณะผู้ก่อการภายใต้การนำของ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ซึ่งได้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นผลสำเร็จใน พ.ศ. 2475<br /></span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทย</span></span></span></p><p align="justify"><span style="color:#000000;"><b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">สภาพการณ์โดยทั่วไปของบ้านเมืองก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง</span><br /><span class="Apple-style-span">1.สภาพการณ์ทางสังคม</span><br /></span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"></span></span></span></b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">สังคมไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ความทันสมัยตามแบบตะวันตกในทุกๆ ด้าน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปฏิรูปแผ่นดินเข้าสู่ความทันสมัยในรัชกาลที่ 5 (พ.ศ.2411-2453)</span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"> </span></span></span></span><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">ความจริงแล้วสังคมไทยเริ่มปรับตัวให้เข้ากับกระแสวัฒนธรรมตะวันตกมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ภายหลังได้ทำสนธิสัญญาบาวริงกับอังกฤษใน พ.ศ.2398 และกับประเทศอื่นๆในภาคพื้นยุโรปอีกหลายประเทศ และทรงเปิดรับรับประเพณีและวัฒนธรรมของตะวันตก เช่น การจ้างชาวตะวันตกให้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษแก่พระราชโอรสและพระราชธิดาในพระบรมมหาราชวัง การให้ข้าราชการสวมเสื้อเข้าเฝ้า การอนุญาตให้ชาวต่างประเทศเข้าเฝ้าพร้อมกับขุนนางข้าราชการไทยในงานพระบรมราชาภิเษก เป็นต้น<br /></span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงดำเนินพระบรมราโชบายปลดปล่อยไพร่ให้เป็นอิสระและทรงประกาศเลิกทาสให้เป็นไทแก่ตนเอง พร้อมกันนั้นยังทรงปฏิรูปการศึกษาตามแบบตะวันตก เพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับการศึกษาถึงขั้นอ่านออกเขียนได้และคิดเลขเป็น ไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย บุตรหลานขุนนาง หรือราษฎรสามัญชนที่พ้นจากความเป็นไพร่หรือทาส ถ้าบุคคลใดมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดก็จะมีโอกาสเดินทางไปศึกษาต่อยังประเทศตะวันตกโดยพระบรมราชานุเคราะห์จากผลการปฏิรูปการศึกษา ทำให้คนไทยบางกลุ่มที่ได้รับการศึกษาตามแบบตะวันตก เริ่มรับ เริ่มรับเอากระแสความคิดเกี่ยวกับการเมืองสมัยใหม่ ที่ยึดถือรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศมาจากตะวันตก และมีความปรารถนาที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงการปกคราองเกิดขึ้นในประเทศไทย ดังจะเห็นได้จากคำกราบบังคมทูลถวายถึงความคิดเห็นในการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะเจ้านายและข้าราชการใน พ.ศ.2427 (ร.ศ.103) หรือการเรียกร้องให้มีการปกครองในระบบรัฐสภาของ “เทียนวรรณ” (ต.ว.ส. วัณณาโภ) ในหน้าหนังสือพิมพ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้น และกระแสความคิดนี้ก็ดำเนินสืบเนื่องมาโดยตลอดในหมู่ผู้นำสมัยใหม่ที่ได้รับการศึก</span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">ษ</span></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">าจากประเทศตะวันตก และจากผู้ที่ได้รับการศึกษาตามแบบตะวันตก<br /></span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"></span></span></span><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้นำสมัยใหม่บางส่วนที่ได้รับผลประโยชน์จากระบบราชการสมัยใหม่ที่ตนเองเข้าไปมีหน้าที่รับผิดชอบอยู่ ก็ถูกระบบราชการดูดกลืนจนปฏิเสธที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสมัยใหม่ในระยะเวลาอันใกล้ เพราะมีความเห็นว่าประชาชนชาวไทยยังขาดความพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลง<br /></span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูปประเทศเข้าสู่ความทันสมัย สังคมไทยก็เริ่มก้าวเข้าสู่ความมีเสรีในการแสดงความคิดเห็นมากขึ้น โดยเริ่มเปิดโอกาสสื่อมวลชนเสนอความคิดเห็นต่อสาธารณชนได้ค่อนข้างเสรี ดังนั้นจึงปรากฏว่าสื่อมวลชนต่างๆ เช่น น.ส.พ.สยามประเภท, ตุลวิภาคพจนกิจ,</span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"> </span></span></span></span><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">ศิริพจนภาค, จีนโนสยามวารศัพท์ ซึ่งตีพิมพ์จำหน่ายในรัชกาลที่ 5 น.ส.พ. บางกอกการเมือง ซึ่งพิมพ์จำหน่ายในสมัยรัชกาลที่ 6 และ น.ส.พ.สยามรีวิว ซึ่งพิมพ์จำหน่ายในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้เรียกร้องและชี้นำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไปสู่ระบบรัฐสภา โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครองประเทศอย่างต่อเนื่อง<br /></span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการปลดปล่อยไพร่และทาสให้เป็นอิสระในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ผ่านพ้นไปได้เพียง 20 ปีเศษ ดังนั้นสภาพสังคมส่วนใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 7 ก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของวัฒนธรรมในระบบเจ้าขุนมูลนาย นอกจากนี้คนส่วนน้อยยังคงมีฐานะ สิทธิ ผลประโยชน์ต่างๆ เหนือคนไทยส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่มักมีความเห็นคล้อยตามความคิดที่ส่วนน้อยซึ่งเป็นชนชั้นนำของสังคมไทยชี้นำ ถ้าจะมีความขัดแย้งในสังคมก็มักจะเป็นความขัดแย้งในทางความคิด และความขัดแย้งในเชิงผลประโยชน์ในหมู่ชนชั้นนำของสังคมที่ได้รับการศึกษาจากประเทศตะวันตก มากกว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นผู้นำของสังคมไทยกับราษฎรทั่วไป</span></span></span></p><p align="justify"><b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">2.สภาพการณ์ทางเศรษฐกิจ</span></span></b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;"><br /></span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เริ่มมีการส่งข้าวออกไปขายยังต่างประเทศมากขึ้น เพราะระบบการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปและความต้องการของตลาดโลก ชาวนาจึงหันมาปลูกข้าวเพื่อส่งออกมาขึ้น ทำให้มีการปลูกพืชอื่นๆ น้อยลง ผลผลิตที่เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนก็ลดลงด้วยบางที่ก็เลิกผลิตไปเลย เพราะแรงงานส่วนใหญ่จะนำไปใช้ในการผลิตข้าวแทน<br /></span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">สมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงเห็นว่าถึงแม้รายได้ของแผ่นดินจะเพิ่มพูนมากขึ้นอันเป็นผลมาจากระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนไป แต่การที่ระบบการคลังของแผ่นดินยังไม่รัดกุมพอ ทำให้เกิดการรั่วไหลได้ง่าย จังทรงจัดการปฏิรูปการคลังโดยจัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้น เพื่อการปรับปรุงและการจัดระบบภาษีให้ทันสมัยใน พ.ศ.2416 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติงบประมาณ พ.ศ.2434 เริ่มโครงการปฏิรูปเงินตราใหม่ พ.ศ.2442 จัดการส่งเสริมการเกษตรและการผลิตเพื่อการส่งออกให้มากขึ้น ปรับปรุงการคมนาคมให้ทันสมัยโดยการสร้างทางรถไฟ ตัดถนนสายต่างๆ ขุดคลอง เพื่อให้เกิดความสะดวกในการคมนาคม การขนส่งสินค้าและผลผลิต ซึ่งผลการปฏิรูปเศรษฐกิจในสมัยรัชกาลที่ 5 ทำให้รายได้ของประเทศเพิ่มมากขึ้น 15 ล้านบาทใน พ.ศ.2435 เป็น 46 ล้านบาทใน พ.ศ.2447 โดยไม่ได้เพิ่มอัตราภาษีและชนิดของภาษีขึ้นอย่างใด ทำให้เงินกองคลังของประเทศ ซึ่งเคยมีอยู่ประมาณ 7,500,000 บาท ใน พ.ศ.2437 เพิ่มเป็น 32,000,000 บาทใน พ.ศ.2444<br />สมัยรัชกาลที่ 6 (พ.ศ.2453-2468) ได้มีการส่งเสริมธุรกิจด้านอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ กิจการไฟฟ้า มีการจัดตั้งบริษัทพาณิชย์นาวีสยาม ส่งเสริมด้านชลประทานและการบำรุงพันธุ์ข้าว จัดตั้งธนาคารออมสิน สร้างทางรถไฟเพิ่มเติมจากเดิม ทั้งนี้เพื่อหวังผลทางเศรษฐกิจที่เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น แต่เนื่องจากได้อุทกภัยใน พ.ศ.2460 และเกิดฝนแล้งใน พ.ศ. 2462 ทำให้การผลิตข้าวอันเป็นที่มาของรายได้หลักของประเทศประสบความเสียหายอย่างหนัก ส่งผลกระทบต่อภาวะการคลังของประเทศอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ทำให้งบประมาณรายจ่ายสูงกว่ารายรับมาโดยตลอดระหว่าง พ.ศ.2465-2468<br />สมัยรัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468-2475) พระองค์ได้ทรงแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างเต็มพระสติกำลังความสามารถ โดยทรงเสียสละด้วยการตัดทอนรายจ่ายในราชสำนัก เพื่อเป็นตัวอย่างแก่หน่วยราชการต่างๆ โดยโปรดให้ลดเงินงบประมาณรายจ่ายส่วนพระองค์ จากเดิมปีละ 9 ล้านบาท เหลือปีละ 6 ล้านปี พ.ศ.2469 และมีการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีศุลกากรใหม่หลายอย่าง ทำให้งบประมาณรายรับรายจ่ายเกิดความสมดุล พ.ศ.2472-2474 เศรษฐกิจโลกเริ่มตกต่ำอันเป็นผลเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงส่งผลกระทบต่อประเทศโดยตรง ทำให้งบประมาณรายจ่ายสูงกว่ารายรับเป็นจำนวนมาก รัชกาลที่ 7 ได้ทรงดำเนินนโยบายตัดทอนรายจ่ายอย่างเข้มงวดที่สุด รวมทั้งปลดข้าราชการออกจากตำแหน่งเป็นจำนวนมากเพื่อการประหยัด ตลอดจนจัดการยุบมณฑลต่างๆทั่วประเทศ งดจ่ายเบี้ยเลี้ยงและเบี้ยกันดารแก่ข้าราชการ ประกาศให้เงินตราของไทยออกจากมาตรฐานทองคำ และกำหนดค่าเงินตราตามเงินปอนด์สเตอร์ลิง รวมทั้งการประกาศเพิ่มภาษีราษฎรโดยเฉพาะข้าราชการซึ่งจะต้องเสียภาษีที่เรียกว่า ภาษเงินเดือน แต่ถึงแม้ว่าจะทรงดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วยการประหยัดและตัดทอนรายจ่ายต่างๆ รวมทั้งการเพิ่มภาษีบางอย่างแล้ว แต่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจก็ยังไม่ไดเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น</span></span></p><p align="justify"><b><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">3.สภาพการณ์ทางการเมือง</span><br /></span></span><span class="Apple-style-span"></span></span></b><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">สภาพการณ์ทางการเมืองและการปกครองของไทยกำลังอยู่ในระยะปรับตัวเข้าสู่แบบแผนการปกครองของตะวันตก เห็นได้จากพระบรมราโชบายของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ภายหลังที่ไทยได้มีการติดต่อกับประเทศตะวันตกอย่างกว้างขวาง นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4-7สมัยรัชกาลที่ 4 ยังไม่ได้ทรงดำเนินนโยบายปรับปรุงการปกครองให้เป็นแบบตะวันตก แต่ก็ทรงมีแนวพระราชดำริโน้มเอียงไปในทางเสรีนิยม เช่น ประกาศให้เจ้านายและข้าราชการเลือกตั้งตำแหน่งมหาราชครูปุโรหิตและตำแหน่งพระมหาราชครูมหิธร อันเป็นตำแหน่งตุลาการที่ว่างลง แทนที่จะทรงแต่งตั้งผู้พิพากษาตามพระราชอำนาจของพระองค์ และเปลี่ยนแปลงวิธีถวายน้ำพิพัฒน์สัตยา ด้วยการที่พระองค์ทรงเสวยน้ำพิพัฒน์สัตยาร่วมกับขุนนางข้าราชการและทรงปฏิญาณความซื่อสัตย์ของพระองค์ต่อขุนนางข้าราชการทั้งปวงด้วย<br />สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูปการเมืองการปกครองครั้งใหญ่ เพื่อให้การปกครองของไทยได้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับชาติตะวันตก โดยจัดตั้ง สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) และสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์ (Privy Council) ใน พ.ศ.2417 เพื่อถวายคำปรึกษาเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินและในเรื่องต่างๆ</span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"> </span></span></span></span><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">ที่พระองค์ของคำปรึกษาไป นอกจากนี้พระองค์ยังทรงปฏิรูปการปกครองที่สำคัญคือ การจัดตั้งกระทรวงแบบใหม่จำนวน 12 กระทรวงขึ้นแทนจตุสดมภ์ในส่วนกลางและจัดระบบการปกครองหัวเมืองต่างๆในรูปมณฑลเทศาภิบาลในภูมิภาค โดยเริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2435 เป็นต้นมา นอกจากนี้พระองค์ทรงริเริ่มทดลองการจัดการปกครองท้องถิ่นในรูป สุขาภิบาล จัดตั้ง รัฐมนตรีสภา เพื่อทำหน้าที่ตามกฎหมาย ใน พ.ศ.2437 ตามแบบอย่างตะวันตก<br />สมัยรัชกาลที่ 6 ทรงริเริ่มทดลองการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยการจัดตั้ง ดุสิตธานี เมืองประชาธิปไตยขึ้นในบริเวณพระราชวังดุสิต พ.ศ.2461 เพื่อทดลองฝึกฝนให้บรรดาข้าราชการได้ทดลองปกครองตนเองในนครดุสิตธานี เหมือนกับการจดรูปแบบการปกครองท้องถิ่นที่เรียกว่า “เทศบาล” นอกจากนี้ยังทรงจัดตั้งกระทรวงขึ้นมาใหม่จากที่มีอยู่เดิม และยุบเลิกกระทรวงบางกระทรวงเพื่อให้มีความทันสมัยมากขึ้น โด</span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">ย</span></span></span></span><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">ทรงจัดตั้งมณฑลเพิ่มขึ้นและทรงปรับปรุงการบริหารงานของมณฑลด้วยการยุบรวมมณฑลเป็นหน่วยราชการที่เกี่ยวกับการปกครองเรียกว่า มณฑลภาค เพื่อให้การปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลมีความคล่องตัวมากขึ้น<br />สมัยรัชกาลที่ 7 (พ.ศ.2468-2475) ทรงเล็งเห็นความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองให้ทันสมัย และต้องเตรียมการให้พร้อมเพิ่มมิให้เกิดความผิพลาดได้ โดยพระองค์ได้ทรงจัดตั้งอภิรัฐมนตรีสภา เพื่อเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน พ.ศ.2468 และทรงมอบหมายให้อภิรัฐมนตรีสภาวางระเบียบสำหรับจัดตั้งสภากรรมการองคนตรี เพื่อเป็นสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์อีกด้วย<br />นอกจากนี้ทรงมอบหมายให้อภิรัฐมนตรีวางรูปแบบการปกครองท้องถิ่นในรูปเทศบาล ด้วยการแก้ไขปรับปรุงสุขาภิบาลที่มีอยู่ให้เป็นเทศบาล แต่ไม่มีโอกาสได้ประกาศใช้ เพราะได้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้นก่อน นอกจากนี้ยังทรงโปรดเกล้าฯ</span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"> </span></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">ให้พระยาศรีวิศาลวาจาและนายเรย์มอนด์ บี. สตีเวนส์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศช่วยกันร่างรัฐธรรมนูญ ตามกระแสพระราชดำริใน พ.ศ.2474 มีสาระสำคัญดังนี้<br />อำนาจนิติบัญญัติจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทางอ้อม โดยมีสมาชิก 2 ประเภท คือ มาจากการเลือกตั้งและการแต่งตั้ง ส่วนผู้ที่มีสิทธิ์สมัครเลือกตั้งจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า30 ปี มีพื้นฐานความรู้อ่านออกเขียนได้ ส่วนอำนาจบริหารให้พระมหากษัตริย์ทรงเลือกนายกรัฐมนตรี แต่เนื่องจากอภิรัฐมนตรีมีความเห็นประชาชนยังไม่พร้อม ดังนั้นการประกาศใช้รัฐธรรมนูญควรระงับไว้ชั่วคราว จนกระทั่งได้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียก่อนจึงมิได้มีการประกาศใช้แต่อย่างใด</span></span></p><p align="justify"><span style="color:#000000;"><b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">สาเหตุการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475</span><br /><span class="Apple-style-span">1.ความเสื่อมของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์</span><br /></span></span><span class="Apple-style-span"></span></b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">การที่คณะนายทหารหนุ่มภายใต้การนำของ ร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์(เหล็ง ศรีจันทร์) ได้วางแผนยึดอำนาจการปกครอง เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบที่จำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ให้อยู่ในฐานะประมุขของประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญเมื่อ พ.ศ.2454 แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะถูกจับกุมก่อนลงมือปฏิบัติงาน แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมของระบอบนี้อย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่ไม่ดุลกับรายรับ ทำให้มีการกล่าวโจมตีรัฐบาลว่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินไป ครั้งต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 พระองค์ก็ถูกโจมตีว่าทรงตกอยู่ใต้อิทธิพลของอภิรัฐมนตรีสภา ซึ่งเป็นสภาที่ปรึกษาที่ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง และบรรดาพระราชวงศ์ก็มีบทบาทในการบริหารบ้านเมืองมากเกินไป ควรจะให้บุคคลอื่นที่มีความสามารถเข้ามีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมืองด้วย ปรากฎการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจต่อระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย </span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">ซึ่งนับวันจะมีปฏิกิริยาต่อต้านมากขึ้น</span></span></span></p><p align="justify"><span style="color:#000000;"><b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">2.การได้รับการศึกษาตามแนวความคิดตะวันตกของบรรดาชนชั้นนำในสังคมไทย<br /></span></span><span class="Apple-style-span"></span></b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">อิทธิพลจากการปฏิรูปการศึกษาในสมัยรัชกาลที่ 5 ทำให้คนไทยส่วนหนึ่งที่ไปศึกษายังประเทศตะวันตก ได้รับอิทธิพลแนวคิดทางการเมืองสมัยใหม่ และนำกลับมาเผยแพร่ในประเทศไทย ทำให้คนไทยบางส่วนที่ไม่ได้ไปศึกษาต่อในต่างประเทศรับอิทธิพลแนวความคิดดังกล่าวด้วย อิทธิพลของปฏิรูปการศึกษาได้ส่งผลกระตุ้นให้เกิดความคิดในการเปลี่ยนแลปงการปกครองมากขึ้น นับตั้งแต่คณะเจ้านายและข้าราชการเสนอคำกราบบังคมทูลให้เปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ.2427 นักหนังสือพิมพ์อย่าง เทียนวรรณ (ต.ว.ส.วัณณาโภ) ก.ศ.ร. กุหลาบ (ตรุษ ตฤษณานนท์) ได้เรียกร้องให้ปกครองบ้านเมืองในระบบรัฐสภา เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง และยังได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์สังคม กระทบกระเทียบชนชั้นสูงที่ทำตัวฟุ้งเฟ้อ ซึ่งตัวเทียนวรรณเองก็ได้กราบบังคมทูลถวายโครงร่างระบบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยแด่รัชกาลที่ 5 ต่อมาในรัชกาลที่ 6 กลุ่มกบฏ ร.ศ.130 ที่วางแผนยึดอำนาจการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็เป็นบุคคลที่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตกแต่ไม่เคยไปศึกษาในต่างประเทศ แต่คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ.2475 เป็นคณะบุคคลที่ส่วนใหญ่ผ่านการศึกษามาจากประเทศตะวันตกแทบทั้งสิ้น แสดงให้เห็นถึงอัทธิพลของความคิดในโลกตะวันตกที่มีต่อชนชั้นผู้นำของไทยเป็นอย่างยิ่ง เมื่องคนเลห่านี้เห็นความสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การเปลี่ยนแปลงกรปกครองจึงเกิดขึ้น</span></span></span></p><p align="justify"><span style="color:#000000;"><b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">3.ความเคลื่อนไหวของบรรดาสื่อมวลชน<br /></span></span><span class="Apple-style-span"></span></b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">สื่อมวลชนมีบทบาทในการกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวในการปกครองแบบใหม่และปฏิเธระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่น น.ส.พ.ตุลวิภาคพจนกิจ (พ.ศ.2443-2449) น.ส.พ.ศิริพจนภาค (พ.ศ.2451) น.ส.พ.จีนโนสยามวารศัพท์ (พ.ศ.2446-2450) น.ส.พ.บางกอกการเมือง (พ.ศ.2464) น.ส.พ.สยามรีวิว (พ.ศ.2430) น.ส.พ.ไทยใหม่ (พ.ศ.2474) ต่างก็เรียกร้องให้มีการปกครองในระบบรัฐสภาที่มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครองประเทศ โดยชี้ให้เห็นถึงความดีงามของระบอบประชาธิปไตยที่จะเป็นแรงผลักดันให้ประชาชาติมีความเจริญก้าวหน้ามากกว่าที่เป็นอยู่ ดังเช่นที่ปรากฎเป็นตัวอย่างในหลายๆประเทศที่มีการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญ การะแสเรียกร้องของสื่อมวลชนในสมัยนั้นได้มีส่วนต่อการสนับสนุนให้การดำเนินของคณะผู้ก่อการในอันที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองบรรลุผลสำเร็จได้เหมือนกัน</span></span></span></p><p align="justify"><span style="color:#000000;"><b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">4.ความขัดแย้งทางความคิดเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย<br /></span></span><span class="Apple-style-span"></span></b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">รัชกาลที่ 7 ทรงเล็งเห็นความสำคัญของการมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศและทรงเต็มพระทัยที่จะสละพระราชอำนาจมาอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม แต่เมื่อพระองค์ทรงมีกระแสรับสั่งให้พระยาศรีวิศาลวาจาและนายเรย์มอนด์ บี.สตีเวนส์ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อประกาศใช้ พระองค์ได้ทรงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาอภิรัฐมนตรีสภา แต่อภิรัฐมนตรีสภากลับไม่เห็นด้วย โดยอ้างว่าประชาชนยังขาดความพร้อมและเกรงจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ทั้งๆที่รัชกาลที่ 7 ทรงเห็นด้วยกับการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ แต่เมื่ออภิรัฐมนตรีสภาคัด ค้าน พระองค์จึงมีน้ำพระทัยเป็นประชาธิปไตยโดยทรงฟังเสียงทัดทานจากอภิรัฐมนตรีสภาส่วนใหญ่ ดังนั้นรัฐธรรมนูญจึงยังไม่มีโอกาสได้รับการประกาศใช้ เป็นผลให้คณะผู้ก่อการชิงลงมือทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ได้ในที่สุด</span></span></span></p><p align="justify"><b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">5.สถานะการคลังของประเทศและการแก้ปัญหา<br /></span></span><span class="Apple-style-span"></span></b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">การคลังของประเทศเริ่มประสบปัญหามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เพราะการผลิตข้าวประสบความล้มเหลว เนื่องจากเกิดภาวะน้ำท่วมและฝนแล้งติดต่อกันใน พ.ศ. 2460 และ พ.ศ.2462 ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียหายต่อการผลิตข้าวอย่างรุนแรง ภายในประเทศก็ขาดแคลนข้าวที่จะใช้ในการบริโภค และไม่สามารถส่งข้าวไปขายยังต่างประเทศได้ ทำให้รัฐขาดรายได้เป็นจำนวนมาก รัฐบาลจึงต้องจัดสรรเงินงบประมาณช่วยเหลือชาวนา ข้าราชการ และผู้ประสบกับภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น มีทั้งรายจ่ายอื่นๆ เพิ่มขึ้นจนเกินงบประมาณรายได้ ซึ่งใน พ.ศ. 2466 งบประมาณขาดดุลถึง 18 ล้านบาท นอกจากนี้รัฐบาลได้นำเอาเงินคงคลังที่เก็บสะสมไว้ออกมาใข้จ่ายจนหมดสิ้น ในขณะที่งบประมาณรายได้ต่ำ รัชกาลที่ 6 ทรงแก้ปัญหาด้วยการกู้เงินจากต่างประเทศ เพื่อให้มีเงินเพียงพอกับงบประมาณรายจ่าย ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลใช้จ่ายเงินงบประมาณอย่างไม่ประหยัด ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังคับขัน<br />ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 7 ทรงดำเนินนโยบายตัดทอนรายจ่ายของรัฐบาลลดจำนวนข้าราชการในกระทรวงต่างๆให้น้อยลง และทรงยินยอมตัดทอนงบประมาณรายจ่ายส่วนพระองค์ให้น้อยลง เมื่อ พ.ศ.2469 ทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 3 ล้านบาท แต่เนื่องจากเศรษฐกิจของโลกเริ่มตกต่ำมาเป็นลำดับตั้งแต่ พ.ศ. 2472 ทำให้มีผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง รัฐบาลต้องตัดทอนรายจ่ายอย่างเข้มงวดที่สุด รวมทั้งปลดข้าราชการออกจากตำแหน่งเป็นอันมาก จัดการยุบมณฑลต่างๆทั่วประเทศ งดจ่ายเบี้ยเลี้ยงและเบี้ยกันดารของข้าราชการ รวมทั้งการประกาศให้เงินตราของไทยออกจากมาตรฐานทองคำ<br />พ.ศ. 2475 รัฐบาลได้ประกาศเพิ่มภาษีราษฎรโดยเฉพาะการเก็บภาษีเงินเดือนจากข้าราชการ แต่มาตรการดังกล่าวมก็ไม่สามารถจะกอบกู้สถานะการคลังของประเทศได้กระเตื้องขึ้นได้ จากปัญหาเศรษฐกิจการคลังที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขให้มีสภาพเป็นปกติได้ ทำให้คณะผู้ก่อการใช้เป็นข้ออ้างในการโจมตีประสิทธิภาพการบริหารงานของรัฐบาล จนเป็นเงื่อนไขให้คณะผู้ก่อการดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นผลสำเร็จ</span></span></p><p align="left"><span style="color:#000000;"></span></p><p align="justify"><b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">การยึดอำนาจการปกครอง<br /></span><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">1.วิธีการดำเนินงาน<br /></span></span></span><span class="Apple-style-span"></span></b><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">กลุ่มบุคคลซึ่งเป็นผู้ริเริ่มความคิดที่จะดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครองในครั้งแรกหรือที่เรียกว่า “คณะผู้ก่อการ นั้นมี 7 คน ที่สำคัญคือ นายปรีดี พนมยงค์ ร.ท.แปลก ขีตตะวังคะ ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี เป็นต้น<br />คณะบุคคลทั้ง 7 คนได้เริ่มเปิดประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2469 ที่พักแห่งหนึ่งในถนน รู เดอ ซอมเมอรารด์ ณ กรุงปารีส การประชุมครั้งนั้นดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลา 5 วัน โดยที่ประชุมได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้นายปรีดี พนมยงค์ เป็นประธานที่ประชุม และที่ประชุมตกลงดำเนินการจัดตั้งคณะผู้ก่อการขึ้นมา เพื่อเป็นศูนย์รวมในการดำเนินงานต่อไป โดยที่ประชุมได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้าคณะผู้ก่อการ จนกว่าจะมีบุคคลที่เหมาะสมเป็นหัวหน้าคณะผู้ก่อการต่อไป ที่ประชุมได้ตกลงในหลักการที่จะทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทย จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ให้อยู่ภายใต้กฎหมายหรือที่เรียกกันว่า ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ<br />นอกจากนี้ คณะผู้ก่อการได้กำหนดหลักการในการปกครองประเทศไว้ 6 ประการ<br />1) รักษาความเป็นเอกราชของชาติในทุกๆด้าน เช่น เอกราชทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางการศาล ฯลฯ ให้มีความมั่นคง<br />2)</span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"> </span></span></span></span><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">รักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้มีการประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลง<br />3)</span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"> </span></span></span></span><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">บำรุงความสุขของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทำทุกคน โดยจะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติและไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก<br />4)</span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"> </span></span></span></span><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">ให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคทัดเทียมกัน<br />5)</span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"> </span></span></span></span><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">ให้ราษฎรมีเสรีภาพที่ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการข้างต้น<br />6)</span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"> </span></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">ให้การศึกษาแก่ราษฎรทุกคนอย่างเต็มที่<br />ภายหลังจากเสร็จการประชุมในครั้งนั้นแล้ว นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งขณะนั้นสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตทางกฎหมายแล้ว ได้เดินทางกลับสู่ประเทศไทย ทางสมาชิกที่อยุ่ในกรุงปารีสจึงได้เลือกเฟ้นผู้ที่สมควรเข้าร่วมเป็นสมาชิกต่อไป และได้สมาชิกเพิ่มในคณะผู้ก่อการอีก 8 คน ที่สำคัญ คือ พ.อ.พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ร.อ.สินธุ์ กมลนาวิน เป็นต้น<br />ภายหลังเมื่อบรรดาสมาชิกของคณะผู้ก่อการที่กรุงปารีสกลับคืนสู่ประเทศไทยแล้ว ก็ได้มีการชักชวนบุคคลที่มีความเห็นร่วมกันเข้าร่วมเป็นสมาชิกคณะผู้ก่อการอีกเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งปลายปี พ.ศ.2474 จึงได้ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้าคณะผู้ก่อการ ดังนั้นสมาชิกคณะผู้ก่อการฝ่ายทหารที่สำคัญ ได้แก่ พ.อ.พระยาทรงสุรเดช พ.อ.หลวงพิบูลสงคราม น.ต.หลวงสินธุ์สงครามชัย ฯลฯ สำหรับสมาชิกคณะผู้ก่อการหัวหน้าฝ่ายพลเรือนที่สำคัญคือ นายปรีดี พนมยงค์ นายทวี บุญยเกตุ นายควง อภัยวงค์ เป็นต้น<br />คณะผู้ก่อการได้วางแผนเปลี่ยนแปลงการปกครองดำเนินไปอย่างละมุนละม่อมและหลีกเลี่ยงการเสียเลือดเนื้อให้มากที่สุด โดยมีแผนจับกุมผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตเอาไว้ก่อน ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน นอกจากนี้ยังมีแผนการจับกุมพระบรมวงศานุวงศ์องค์อื่นๆ รวมทั้งเสนาบดี ปลัดทูลฉลองกระทรวงต่างๆ และผู้บังคับบัญชาทหารที่สำคัญๆ อีกหลายคนด้วยกัน เพื่อเป็นข้อต่อรองให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ปวงชนชาวไทย</span></span></p><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"></span></span><span style="font-size:0;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"></span></span></span><p align="justify"><b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">2.ขั้นตอนการยึดอำนาจ<br /></span></span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span"></span></span></b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">คณะผู้ก่อการได้เริ่มลงมือปฏิบัติงานในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยมี พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะผู้ก่อการ เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการนำคณะนายทหารพร้อมด้วยกำลังหน่วยทหารที่เตรียมการเอาไว้ เข้ายึดพระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นฐานบัญชาการ และได้ส่งกำลังทหารเข้ายึดวังบางขุนพรหม พร้อมทั้งได้ทูลเชิญสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตเสด็จมาประทับยังพระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นผลสำเร็จ จากการที่คณะผู้ก่อการได้พยายามดำเนินการอย่างละมุนละม่อมดังกล่าว ทำให้สถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายไปในทางที่ดีซึ่งมีผลต่อชาติบ้านเมืองโดยส่วนรวม<br />สำหรับทางฝ่ายพลเรือนนั้น สมาชิกคณะผู้ก่อการกลุ่มหนึ่งภายใต้การนำของหลวงโกวิทอภัยวงศ์ (นายควง อภัยวงศ์) ได้ออกตระเวนตัดสายโทรศัพท์และโทรเลขทั้งในพระนครและธนบุรี เพื่อป้องกันมิให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตและผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารในกรุงเทพฯ ขณะนั้น โทรศัพท์และโทรเลขติดต่อกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งประทับอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน ส่วนนายปรีดี พนมยงค์ ได้จัดทำใบปลิว คำแถลงการณ์ของคณะผู้ก่อการออกแจกจ่ายประชาชน<br />คณะผู้ก่อการสามารถยึดอำนาจและจับกุมบุคคลสำคัญฝ่ายรัฐบาลไว้ได้โดยเรียบร้อย และได้ร่วมกันจัดตั้ง คณะราษฎร ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบ รวมทั้งออกประกาศแถลงการณ์ของคณะราษฎร เพื่อชี้แจงที่ต้องเข้ายึดอำนาจการปกครองให้ประชาชนเข้าใจ นอกจากนี้คณะราษฎรได้แต่งตั้งผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหารขึ้น 3 นาย ได้แก่ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา พ.อ.พระยาทรงสุรเดช พ.อ.พระยาฤทธิ์อัคเนย์ โดยให้ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารราชการแผ่นดิน ขณะที่ยังไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการบริหารประเทศ<br />หลังจากนั้น คณะราษฎรได้มีหนังสือกราบบังคับทูลอันเชิญพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับคืนสู่พระนคร เพื่อดำรงฐานะเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรต่อไป ด้วยความที่พระองค์ทรงมีน้ำพระทัยที่เป็นประชาธิปไตย และทรงพร้อมที่จะเสียสละเพื่อประชาชนและประเทศชาติ พระองค์ทรงตอบรับคำกราบบังคับทูลอัญเชิญของคณะราษฎร โดยพระองค์ทรงยินยอมที่จะสละพระราชอำนาจของพระองค์ด้วยการพระราชทานรัฐธรรมนูญตามที่คณะราษฎรได้มีเป้าหมายเอาไว้ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และได้เสด็จพระราชดำเนินกลับคืนสู่พระนครเพื่อพระราชทานรัฐธรรมนูญให้กับปวงชนชาวไทย</span></span></span></p><p align="left"><span style="color:#000000;"></span></p><p align="justify"><b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">การประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม<br /></span></span></span><span class="Apple-style-span"></span></b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">การที่คณะราษฎรภายใต้การนำของ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นผลสำเร็จ โดยมิต้องสูญเสียเลือดเนื้อแต่ประการใดนั้น เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่รงยอมรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยมิได้ทรงต่อต้านเพื่อคิดตอบโต้คณะราษฎรด้วยการใช้กำลังทหารที่มีอยู่แต่ประการใด และทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญให้กับปวงชนชาวไทยตามที่คณะราษฎรได้เตรียมร่างเอาไว้ เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายให้ทรงลงพระปรมาภิไธย นอกจากนี้พระองค์ก็ทรงมีพระราชประสงค์มาแต่เดิมแล้วว่าจะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศแก่ประชาชนอยู่แล้ว จึงเป็นการสอดคล้องกับแผนการของคณะราษฎร ประกอบกับพระองค์ทรงเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและความสุขของประชาชนเป็นสำคัญ ยิ่งกว่าการดำรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจของพระองค์<br />รัฐธรรมนูญที่คณะราษฎรได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยมี 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ.2475 และ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475</span></span></span></p><p align="justify"><b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">1.พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475<br /></span></span></span><span class="Apple-style-span"></span></b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าอยู่เจ้า เสด็จพระราชดำเนินจากพระราชวังไกลกังวล หัวหิน กลับคืนสู่พระนครแล้ว คณะราษฎรได้นำพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ซึ่งนายปรีดี พนมยงค์ และคณะราษฎรบางคนได้ร่างเตรียมไว้ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงพระปรมาภิไธย พระองค์ได้พระราชทานกลับคืนมาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475 และได้มีพิธีเปิดสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2475 ซึ่งรัฐธรรมนูญนี้มีชื่อเรียกว่า “พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว”<br />รัฐธรรมนูญชั่วคราวนี้กำหนดว่า อำนาจสูงสุดในแผ่นดินประกอบด้วย อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ซึ่งแต่เดิมเป็นของพระมหากษัตริย์ จึงได้เปลี่ยนเป็นของปวงชนชาวไทยตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยเกี่ยวกับการได้มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น ได้กำหนดแบ่งระยะเวลาออกเป็น 3 สมัยคือ<br />1) สมัยที่ 1 นับแต่วันใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะถึงเวลาที่สมาชิกในสมัยที่ 2 จะเข้ารับตำแหน่ง ให้คณะราษฎรซึ่งมีผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารเป็นผู้ใช้อำนาจแทน และจัดตั้งผู้แทนราษฎรชั่วคราวขึ้นเป็นจำนวน 70 นาย เป็นสมาชิกในสภา<br />2) สมัยที่ 2 ภายในเวลา 6 เดือน หรือจนกว่าจะจัดประเทศเป็นปกติเรียบร้อย สมาชิกในสภาจะต้องมีบุคคล 2 ประเภท ทำกิจกรรมร่วมกัน คือ ประเภทที่หนึ่ง ได้แก่ผู้แทนราษฎรซึ่งราษฎรได้เลือกขึ้นมาจังหวัดละ 1 นาย ต่อราษฎรจำนวน 100,000 คน ประเภทที่สอง ผู้เป็นสมาชิกอยู่ในสมัยที่หนึ่งมีจำนวนเท่ากับสมาชิกประเภทที่หนึ่ง ถ้าจำนวนเกินให้เลือกกันเองว่าผู้ใดจะยังเป็นสมาชิกต่อไป ถ้าจำนวนขาดให้ผู้ที่มีตัวอยู่เลือกบุคคลใดๆเขาแทนจนครบ<br />3) สมัยที่ 3 เมื่อจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรได้สอบไล่วิชาประถมศึกษาได้เป็นจำนวน กว่าครึ่ง และอย่างช้าต้องไม่เกิน 10 ปี นับตั้งแต่วันใช้รัฐธรรมนูญนี้ สมาชิกในสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้ที่ราษฎรได้เลือกตั้งขึ้นเองทั้งสิ้น ส่วนสมาชิกประเภทที่สองเป็นอันสิ้นสุดลง ผู้แทนราษฎรชั่วคราวจำนวน 70 นาย ซึ่งผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหารจะเป็นผู้จัดตั้งขึ้นในระยะแรกนั้น ประกอบด้วยสมาชิกคณะราษฎร ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ผู้ประกอบอาชีพสาขาต่างๆ ซึ่งมีความปรารถนาจะช่วยบ้านเมือง และกลุ่มกบฏ ร.ศ.130 บางคน ซึ่งสมาชิกทั้ง 70 คน ภายหลังจากการได้รับการแต่งตั้งแล้ว 6 เดือน ก็จะมีฐานะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว<br />ทางด้านอำนาจบริหารนั้นในรัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ซึ่งตำแหน่งบริหารที่สำคัญเอาไว้คือ ประธานคณะกรรมการราษฎร (เทียบเท่านายกรัฐมนตรี) ซึ่งจะต้องเป็นบุคคลที่สามารถประสานความเข้าใจระหว่างคณะราษฎรกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างดี และเพื่อความราบรื่นในการบริหารประเทศต่อไป คณะราษฎรจึงตกลงเห็นชอบที่จะให้ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เป็นประธานคณะกรรมการราษฎร<br />คณะกรรมการราษฎร (คณะรัฐมนตรี) ในรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซึ่งเป็นคณะรัฐมนตรีชุดแรกที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองสยามชั่วคราว พ.ศ.2475 มีจำนวนทั้งสิ้น 15 นาย เป็นผู้บริหารราชการแผ่นดิน</span></span></span></p><p align="justify"><span style="color:#000000;"><b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span">2. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.2475<br /></span></span></span><span class="Apple-style-span"></span></b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span">ภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวแล้วสภาผู้แทนราษฎรได้แต่งตั้งอนุกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรเพื่อใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศสืบไป ในที่สุดสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญครั้งสุดท้ายในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2475 และสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับรองให้ใช้เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2475 โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 หลังจากนั้นได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป</span></span></span></span></p><p align="justify"><b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม 2475 มีสาระสำคัญพอสรุปได้ดังนี้</span></span></span></b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span"><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><br /></span>1.อำนาจนิติบัญญัติ กำหนดให้มีสภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกซึ่งราษฎรเป็นผู้เลือกตั้ง แต่มีบทเฉพาะกาลกำหนดไว้ว่า ถ้าราษฎรผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ยังมีการศึกษาไม่จบชั้นประถมศึกษามากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด และอย่างช้าต้องไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ.2475<br />สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก 2 ประเภท มีจำนวนเท่ากันคือ สมาชิกประเภทที่ 1 ได้แก่ผู้ที่ราษฎรเลือกตั้งสขึ้นมาตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ส่วนสมาชิกประเภทที่ 2 ได้แก่ ผู้ที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎร ในระหว่างที่ใช้บทบัญญัติเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม<br />2.อำนาจบริหาร พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี 1 นาย และรัฐมนตรีอีกอย่างน้อย 14 นาย อย่างมาก 24 นาย และในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ กล่าวโดยสรุปในภาพรวมของรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับ ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองการปกครองและสังคมไทยดังนี้คือ<br />2.1 อำนาจการปกครองของแผ่นดินซึ่งแต่เดิมเคยเป็นของพระมหากษัตริย์ก็ตกเป็นของปวงชนชาวไทยตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงดำรงฐานะเป็นประมุขของประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญ พระองค์จะทรงใช้อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ทาง คือ อำนาจนิติบัญญัติผ่านทางสภาผู้แทนราษฎร อำนาจบริหารผ่านทางคณะรัฐมนตรี อำนาจตุลาการผ่านทางผู้พิพากษา (ศาล)<br />2.2 ประชาชนจะได้รับสิทธิในทางการเมือง โดยการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าไปทำหน้าที่ควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล ออกกฎหมายและเป็นปากเสียงแทนราษฎร<br />2.3 ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในทางการเมืองมากขึ้น สามารถแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องต่างๆได้ ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย และคนทุกคนมีความเสมอภาคภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน<br />2.4 ในระยะแรกของการใช้รัฐธรรมนูญ อำนาจบริหารประเทศจะต้องตกอยู่ภายใต้การชี้นำของคณะราษฎร ซึ่งถือว่าเห็นตัวแทนของราษฎรทั้งมวลในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ความสงบเรียบร้อย ประชาชนจึงจะมีสิทธิในอำนาจอธิปไตยอย่างเต็มที่</span></span></span></span></p><p align="left"><span style="color:#000000;"></span></p><p align="justify"><b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแหลงการปกครอง พ.ศ. 2475<br /></span><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">1.ผลกระทบทางด้านการเมือง<br /></span></span></span></span><span class="Apple-style-span"></span></b><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span">การเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบต่อสถานภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างมาก เพราะเป็นการสิ้นสุดพระราชอำนาจในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถึงแม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทางยอมรับการเปลี่ยนแปลง และทรงยินยอมพระราชทานรัฐธรรมนูญให้กับปวงชนชาวไทยแล้วก็ตาม แต่พระองค์ก็ทรงเป็นห่วงว่าประชาชนจะมิได้รับอำนาจการปกครองที่พระองค์ทรงพระราชทานให้โดยผ่านทางคณะราษฎรอย่างแท้จริง พระองค์จึงทรงใช้ความพยายามที่จะขอให้ราษฎรได้ดำเนินการปกครองประเทศด้วยหลักการแห่งประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่พระองค์ก็มิได้รับการสนองตอบจากรัฐบาลของคณะราษฎรแต่ประการใด จนกระทั่งภายหลังพระองค์ต้องทรงประกาศสละราชสมบัติใน พ.ศ.2477<br />นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ยังก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ที่มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ทั้งนี้เป็นเพราะยังมีผู้เห็นว่าการที่คณะราษฎรยึดอำนาจการปกครองมาจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองที่มีพระมหากษัตรยิ์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญนั้น ยังมิได้เป็นไปตามคำแถลงที่ให้ไว้กับประชาชน<br />นอกจากนี้การที่คณะราษฎรได้มอบหมายให้นายปรีดี พนมยงค์ ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ เพื่อดำเนินการปรับปรุงเศรษฐกิจของประเทศตามหลักการข้อ 3 ในอุดมการณ์ 6 ประการของคณะราษฎรที่ได้ประกาศไว้เมื่อครั้งกระทำการยึดอำนาจเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น ปรากฏว่าหลายฝ่ายมองว่าเค้าโครงการเศรษฐกิจมีลักษณะโน้มเอียงไปในทางหลักเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ ดังนั้น ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นในหมู่ผู้ที่เกี่ยวข้องภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองสิ้นสุดลงแล้วไม่นาน<br />พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี เห็นว่าการบริหารประเทศท่ามกลางความขัดแย้งในเรื่องเค้าโครงเศรษฐกิจไม่สามารถจะดำเนินต่อไปได้ จึงประกาศปิดสภาและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา อันส่งผลให้ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา นำกำลังทหารยึดอำนาจรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดาในวันที่ 20 มิถุนายน 2476 และหลังจากนั้น พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดินสืบไป<br />เมื่อรัฐบาลของ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้เข้าบริหารประเทศได้ไม่นาน ก็มีบุคคลคณะหนึ่งซึ่งเรียกตนเองว่า คณะกู้บ้านกู้เมือง นำโดยพลเอกพระองค์เจ้าบวรเดช ได้ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลในเดือนตุลาคม 2476 โดยอ้างว่ารัฐบาลได้ทำการหมิ่นประมาทองค์พระประมุขของชาติ และรับนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นร่างเค้าโครงเศรษฐกิจอันอื้อฉาวเข้าร่วมในคณะรัฐบาล พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาล ดำเนินการปกครองประเทศในระบอบรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่ในที่สุดรัฐบาลก็สามารถปราบรัฐประหารของคณะกู้บ้านกู้เมืองได้สำเร็จ<br />หลังจากนั้นก็มีการจับกุมและกวาดล้างผู้ต้องสงสัยว่าจะร่วมมือกับคณะกู้บ้านกู้เมืองจนดูเหมือนว่าประเทศไทยมิได้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระยะนั้นอย่างแท้จริง ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นความขัดแย้งสืบต่อกันมาในยุคหลัง<br />ปัญหาการเมืองดังกล่าว ได้กลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้สถาบันทางการเมืองในยุคหลังๆ ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะการพัฒนาการทางการเมืองมิได้เป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย และเป็นการสร้างธรรมเ</span></span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span">นี</span></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span">ยมการปกครองที่ไม่ถูกต้องให้กับนักการเมืองและนักการทหารในยุคหลังต่อๆมา ซึ่งทำให้ระบอบประชาธิปไตยต้องประสบกับความล้มเหลวเพราะการใช้กำลังบีบบังคับอยู่เป็นประจำถึงปัจจุบัน</span></span></span></span></p><p align="left"><span style="color:#000000;"></span></p><span style="font-size:0;"><p align="justify"><b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">2.ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ<br /></span></span></span><span class="Apple-style-span"></span></b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 นับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญของไทย แต่ถ้าพิจารณาถึงผลกระทบอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงแล้ว ผลกระทบทางการเมืองจะมีมากกว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้เป็นเพราะความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ที่คณะราษฎรได้มอบหมายให้นายปรีดี พนมยงค์ เป็นคนร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจเพื่อนำเสนอนั้น มิได้รับการยอมรับจากคณะราษฎรส่วนใหญ่ ดังนั้นระบบเศรษฐกิจภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงยังคงเป็นแบบทุนนิยมเช่นเดิม และโครงสร้างทางเศรษฐกิจยังคงเน้นที่การเกษตรกรรมมากว่าอุตสาหกรรม ซึ่งต่างจากประเทศตะวันตกส่วนใหญ่ที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ได้พัฒนาไปสู่ความเป็นประเทศอุตสาหกรรมแล้ว<br />อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจก็พอจะมีอยู่บ้าง ถึงแม้จะไม่เด่นชัดเท่ากับผลกระทบทางการเมืองก็ตาม จากการที่คณะราษฎรผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองตกลงกันได้แต่เพียงว่าจะเลิกล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ไม่สามารถจะตกลงอะไรได้มากกว่านั้น กลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจจึงต้องต่อสู้กันต่อไป เพื่อบีบบังคับให้ระบบเศรษฐกิจและการเมืองเป็นไปตามที่ตนต้องการ นอกจากนี้กลุ่มผลประโยชน์ที่ครอบครองที่ดินและทุนอันเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ ก็รวมตัวกันต่อต้านกระแสความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่ดินและเงินทุนจากของบุคคลเป็นระบบสหกรณ์</span></span></span></p><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"></span></span></span><p align="justify"><b><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">3.ผลกระทบทางด้านสังคม<br /></span></span></span><span class="Apple-style-span"></span></b><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span">ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สังคมไทยได้รับผลกระทบจากเปลี่ยนแปลงพอสมควร คือ ประชาชนเริ่มได้รับเสรีภาพและมีสิทธิต่างๆ ตลอดจนความเสมอภาคภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และได้รับสิทธิในการปกครองตนเอง ในขณะที่บรรดาเจ้าขุนมูลนาย ขุนนาง ซึ่งมีอำนาจภายใต้ระบอบการปกครองดั้งเดิมได้สูญเสียอำนาจและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เคยมีมาก่อน โดยที่คณะราษฎรได้เข้าไปมีบทบาทแทนบรรดาเจ้านายและขุนนางในระบบเก่าเหล่านั้น<br />เนื่องจากที่คณะราษฎรมีนโยบายส่งเสริมการศึกษาของราษฎรอย่างเต็มที่ ตามหลัก 6 ประการของคณะราษฎรข้อที่ 6 ดังนั้น รัฐบาลจึงได้โอนโรงเรียนประชาบาลที่ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลที่รัฐบาลได้จัดตั้งขึ้นให้เทศบาลเหล่านั้นรับไปจัดการศึกษาเอง เท่าที่เทศบาลเหล่านั้นจะสามารถรับโอนไปจากกระทรวงธรรมการได้ ทำให้ประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ มีส่วนร่วมในการทำนุบำรุงการศึกษาของบุตรหลานของตนเอง นอกจากนั้นรัฐบาลได้กระจายอำนาจการปกครองไปสู่ท้องถิ่นด้วยการจัดตั้งเทศบาลตำบล เทศบาลเมือง และเทศบาลนคร มีสภาเทศบาลคอยควบคุมกิจการบริหารของเทศบาลเฉพาะท้องถิ่นนั้นๆ โดยมีเทศมนตรีเป็นผู้บริหารตามหน้าที่<br />พ.ศ.2479 รัฐบาลของ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2479 โดยกำหนดแบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ประเภท คือ สายสามัญศึกษาและสายอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นการเน้นความสำคัญของอาชีวศึกษาอย่างแท้จริง โดยได้กำหนดความมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมให้ผู้ที่เรียนจบการศึกษาในสายสามัญแตะละประโยคแต่ละระดับการศึกษา ได้เรียนวิชาอาชีพเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากเรียนวิชาสามัญ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการที่จะออกไปประกอบอาชีพต่อไป<br />ดังนั้นการเปลี่ยน</span></span></span><span lang="th"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span">แปลง</span></span></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span" style="color:#000000;">การปกครองใน พ.ศ.2475 จึงได้นำไปสู่การปรับปรุงให้ราษฎรได้รับการศึกษา และสามารถใช้วิชาการความรู้ที่ได้รับจากการศึกษามาใช้ประกอบอาชีพต่อไปอย่างมั่นคงและมีความสุข<br />การเปลี่ยนแปลงการปกครองทำให้ชนชั้นเจ้านายและขุนนางในระบบเก่าถูกลิดรอนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เช่น พระมหากษัตริย์จะได้รับเงินจากงบประมาณเพียงปีละ 1-2 ล้านบาท จากเดิมเคยได้ประมาณปีละ 2-10 ล้านบาท เงินปีของพระบรมวงศานุวงศ์ถูกลดลงตามส่วน ขุนนางเดิมถูกปลดออกจากราชการโดยรับเพียงบำนาญ และเจ้านายบางพระองค์ถูกเรียกทรัพย์สินสมบัติคืนเป็นของแผ่นดิน</span></span></span></p></span></span></span>★♫♬♪❤→B A N K _ F R E E D O M←❤♪♫♬★http://www.blogger.com/profile/06142180092029955884noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24627727029158635.post-46385283461911488022010-09-11T08:14:00.000-07:002010-09-12T04:31:09.785-07:00การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย พ.ศ. 2475<span style="font-family:arial;color:#000000;">ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยกลุ่ม</span><a style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(51,51,51); PADDING-TOP: 0px; TEXT-DECORATION: underline" href="http://www.baanjomyut.com/library/index.html"><span style="font-family:arial;color:#000000;">คณะราษฏร</span></a><span style="font-family:arial;color:#000000;">ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งคณะราษฏรได้ยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สำเร็จ และคณะราษฏรก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากพระราชกำหนดนิรโทษกรรมครั้งนี้ โดยความเป็นจริงแล้ว ถ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงใช้พระราชอำนาจที่มีอยู่ในการสั่งปราบปรามคณะราษฏรในข้อหากบฏก็คงจะทรงทำได้ เพราะทหารในส่วนหัวเมืองที่ยังจงรักภักดีกับพระองค์ก็มีอยู่ไม่น้อย แต่เนื่องจากพระองค์เองทรงมีพระราชดำริที่จะพระราชทาน</span><a style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(51,51,51); PADDING-TOP: 0px; TEXT-DECORATION: underline" href="http://www.parliament.go.th/files/library/t-b05.htm"><span style="font-family:arial;color:#000000;">รัฐธรรมนูญ</span></a><span style="font-family:arial;color:#000000;">ให้กับปวงชนชาวไทยอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอภิรัฐมนตรีสภาทัดทานอยู่ พระองค์จึงต้องรอโอกาสอันสมควร แต่เมื่อคณะราษฏรได้ชิงลงมือก่อการปฏิวัติก่อนก็สอดคล้องกับพระราชดำริ<br /><span style="font-size:130%;"><span style="color:#009900;">เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงนี้มีประเด็นที่น่าศึกษาดังนี้</span><br /></span>1.จุดมุ่งหมายและอุดมการณ์ของคณะราษฏร คือ ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นประชาธิปไตย โดยยึดถืออุดมการณ์ 6 ประการ คือ<br />จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย<br />จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ<br />จะบำรุงความสุขสบายสมบูรณ์ของราษฏรในทางเศรษฐกิจ<br />จะต้องให้ราษฏรมีสิทธิเสมอกัน<br />จะต้องให้ราษฏรมีเสรีภาพ โดยไม่ขัดกับหลัก 4 ประการข้างต้น<br />จะต้องให้การศึกษาแก่ราษฏรอย่างเต็มที่<br />2. สาเหตุสำคัญของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง<br />การปฏิรูปการศึกษาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งส่งผลให้ผู้ที่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตกจากประเทศตะวันตก กลายเป็นผู้นำสมัยใหม่ และรับแนวคิดแบบประชาธิปไตยมาเป็นแบบอย่างในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชให้เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ<br />จิตสำนึกของคนรุ่นใหม่และอิทธิพลของสื่อมวลชนที่มีลักษณะก้าวหน้าในสมัยนั้น ในช่วง เวลาก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดแบบประชาธิปไตยได้มีความตื่นตัว และอยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งบรรดาสื่อมวลชนต่างๆ ก็พากันแสดงความคิดเห็น และเสนอข้อเขียนสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแพร่หลาย<br />ฐานะทางการคลังของประเทศและการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในสมัยรัชกาลที่ 7การคลังของประเทศเริ่มตกต่ำลงในตอนปลายสมัยรัชกาลที่ 6 เพราะสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศเกิดตกต่ำลง ครั้นในสมัยรัชกาลที่ 7 พระองค์ทรงพยายามตัดทอนรายจ่ายทุกประเภทให้เหลือเท่าที่จำเป็น มีการปรับปรุงระบบภาษีให้รัดกุม เพื่อจะได้เก็บภาษีให้มากขึ้น และใช้วิธีการปลดข้าราชการออกเป็นจำนวนมาก เพื่อลดรายจ่ายของรัฐบาลให้น้อยลง ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจทั่วโลกก็กำลังตกต่ำลง จึงส่งผลกระทบต่อประเทศไทยจนรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้บรรลุผลได้ จึงเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฏรใน พ.ศ.2475<br />3. องค์ประกอบคณะราษฏร ประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือนจำนวน 99 คน โดยมีบุคคลสำคัญดังนี้<br />พ.อ.พระยาพลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฏร<br />พ.อ.พระยาทรงสุรเดช<br />พ.อ.พระยาฤทธิอัคเนย์<br />พ.ท.พระประศาสน์พิทยายุทธ<br />พ.ต.หลวงพิบูลสงคราม<br />พ.ต.หลวงทัศนัยนิยมศึก<br />น.ต.หลวงสิทธุ์สงครามชัย<br />น.ต.หลวงศุภชลาศัย<br />หลวงประดิษฐมนูธรรม (นายปรีดี พนมยงศ์) หัวหน้าฝ่ายพลเรือน<br />นายจรูญ สืบแสง<br />นายควง อภัยวงศ์<br />4. การประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามและการจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ<br />คณะราษฏรได้นำพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ซึ่งนายปรีดี พนมยงค์ได้ร่างเตรียมไว้ขึ้นทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และพระองค์ได้ทรงพระราชทานกลับคืนมาในวันที่ 27 มิถุนายน 2475 และได้เปิดสภาผู้แทนราษฏรเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2475 รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวมีชื่อว่า "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว"<br />สาระสำคัญของพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว กำหนดไว้ว่า อำนาจสูงสุดในแผ่นดิน ประกอบด้วยอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ ซึ่งแต่เดิมเป็นของพระมหากษัตริย์ได้เปลี่ยนมาเป็นของปวงชนชาวไทยตามหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยรัฐธรรมนูญได้บัญญัติถึงตำแหน่งบริหารที่สำคัญคือ ประธานคณะกรรมการคณะราษฏร คือ นายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องเป็นบุคคลที่ประสานความเข้าใจระหว่างคณะราฏษรกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อความราบรื่นในการบริหารประเทศ ซึ่ง พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เป็นผู้ได้รับเสียงสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฏรให้เป็นประธานคณะกรรมการคณะราษฏร<br />5.การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร<br />หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวแล้ว สภาผู้แทนราษฏรได้แต่งตั้งอนุกรรมการคณะหนึ่ง เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรสำหรับเป็นหลักการปกครองประเทศต่อไป ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 โดยมี</span><a style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(51,51,51); PADDING-TOP: 0px; TEXT-DECORATION: underline" href="file:///D:/My%20Documents/my%20site/306/first%20priminister.html"><span style="font-family:arial;color:#000000;">พระยามโนปกรณ์นิติธาดา</span></a><span style="font-family:arial;color:#000000;"> เป็น</span><a style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(51,51,51); PADDING-TOP: 0px; TEXT-DECORATION: underline" href="file:///D:/My%20Documents/my%20site/306/prime%20mis%20data.html"><span style="font-family:arial;color:#000000;">นายกรัฐมนตรี </span></a><span style="font-family:arial;color:#000000;">ทางด้านคณะราษฏรได้ส่งบุคคลระดับหัวหน้าฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนเข้าร่วมรัฐบาล โดยมี พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นผู้คุมเสียงข้างมากอยู่ในคณะรัฐมนตรี ดังนั้น รัฐบาลชุดนี้จึงเรียกได้ว่าเป็น "รัฐบาลของคณะราษฏร"ซึ่งเป็นสมาคมการเมืองเดียวในขณะนั้น</span><br /><span style="font-family:arial;color:#000000;"></span><br /><a style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(51,51,51); PADDING-TOP: 0px; TEXT-DECORATION: underline" name="sect4"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;">การเมืองช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง-สงครามโลกครั้งที่ 2</span></a><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#000000;">มีเหตุการณ์สำคัญและน่าสนใจในช่วงนี้มีดังต่อไปนี้<br />ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอำนาจเก่าและกลุ่มอำนาจใหม่(คณะราษฏร) และความขัดแย้งภายในกลุ่มใหม่<br />ภายหลัง</span><a style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(51,51,51); PADDING-TOP: 0px; TEXT-DECORATION: underline" href="http://thaistudies.rsu.ac.th/soc103/projects/democracy/new_page_12.htm"><span style="font-family:arial;color:#000000;">การเปลี่ยนแปลงการปกครอง</span></a><span style="font-family:arial;color:#000000;"> เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 แล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวรเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 โดยมีพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้สภาผู้แทนราษฏรประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากราษฏรเป็นผู้เลือก และสมาชิกที่มาจากพระมหากษัตริย์แต่งตั้ง นับเป็นครั้งแรกที่ได้เปิดโอกาสให้ราษฏรไทยได้มีสิทธิเลือกผู้แทนของตนไปทำหน้าที่นิติบัญญัติและควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล<br />พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรี บริหารประเทศตามรัฐธรรมนูญฉบับถาวร พ.ศ.2475 ไปได้เพียง 2-3 เดือนก็ได้เกิดความขัดแย้งในหมู่คณรัฐมนตรี และคณะราษฏรด้วยเรื่อง การกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งมีความคิดเห็นแตกต่างกัน ความขัดแย้งถึงขั้นรุนแรงจนนำไปสู่การประกาศพระราชกฤษฏีกาปิดสภาผู้แทนราษฏร<br />หลังจากปิดสภาผู้แทนราษฏรได้ประมาณ 2 เดือน </span><a style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(51,51,51); PADDING-TOP: 0px; TEXT-DECORATION: underline" href="http://www.cabinet.thaigov.go.th/pm_02.htm"><span style="font-family:arial;color:#000000;">พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา</span></a><span style="font-family:arial;color:#000000;">เป็นหัวหน้าคณะทหารกลุ่มหนึ่งได้ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา หลังจากนั้นพันเอกพระยาพหลฯ ได้จัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ โดยพันเอกพระยาพหลฯ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐบาลชุดนี้จึงเป็นคณะรัฐบาลที่ประกอบด้วยบุคคลสำคัญของคณะราษฏร ซึ่งเป็นกลุ่มยึดอำนาจเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 นั้นเอง<br />การบริหารประเทศภายใต้การนำของพระยาพหลฯ ไม่เป็นที่พอใจของกลุ่มนายทหารรุ่นเก่า กลุ่มขุนนางและกลุ่มเชื้อพระวงศ์บางท่านซึ่งสูญเสียอำนาจจากการปฏิวัติ พ.ศ.2475 โดยกล่าวหาว่าพระยาพหลฯ มีแผนการจะนำเอาลัทธิสังคมนิยมมาในใช้ในประเทศไทยซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์<br />รัฐบาลของพระยาพหลฯ ปฏิเสธที่จะเจรจากับฝ่ายกบฏ โดยอ้างว่ารัฐบาลทำถูกต้องแล้วและได้รวบรวมกำลังทหารจากกรุงฌทพฯเข้าปราบกบฏ ฝ่ายรัฐบาลมีกำลังและความพร้อมเหนือกว่าฝ่ายกบฏ สามารถรุกเข้าโจมตีฝ่ายกบฏ เกิดการสู่รบกันอย่างรุนแรงบริเวณดอนเมือง หลังจากสู้กันได้เพียง 3 วัน ฝ่ายกบฏแตกพ่ายต้องถอยกลับภาคอีสาน หัวหน้ากบฏ คือ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดชต้องเสด็จหนีลี้ภัยไปอยู่ที่อินโดจีน<br />หลังจากรัฐบาลปราบปรามกบฏได้สำเร็จแล้ว จึงได้จัดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฏรขึ้นเป็นครั้งแรก ในปลายปี พ.ศ.2476 โดยมีจำนวน 78 คน รัฐบาลพระยาพหลฯ บริหารประเทศในลักษณะรวบอำนาจ มีการปราบปรามผู้ที่คัดค้านรัฐบาลถึงกับประกาศพระราชบัญญัติจัดการป้องกันรักษารัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลพิเศษเพื่อปราบปรามยุคคลที่ต่อค้านรัฐบาล นอกจากนั้นรัฐบาลยังไม่ยอมให้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองอื่น ดังนั้นรัฐบาลจึงเป็นพรรคการเมือง คณะราษฏรพรรคเดียวโดยไม่มีฝ่ายค้าน<br />การสละราชสมบัติ<br />พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เพื่อรักษาพระเนตรได้ทรงมีพระราชบันทึกถึงรัฐบาล ทรงขอร้องให้รัฐบาลปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและให้สิทธิเสรีภาพแก่ราษฏรอย่างแท้จริง ไม่ปราบปรามและลงโทษผู้คัดค้านด้วยสุจริตใจ<br />เมื่อรัฐบาลไม่สามารถปฏิบัติตามคำขอของพระองค์ได้ พระองค์จึงทรงประกาศสละราชสมบัติเมื่อ วันที่ 2 มีนาคม 2477 ทรงอ้างเหตุผลแห่งการสละราชสมบัติว่า เป็นเพราะพระองค์ไม่สามารถช่วยเหลือและคุ้มครองประชาชนให้ได้รับสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญได้<br />เพราะหลังจากนั้นรัฐบาลได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล พระโอรสในสมบัติสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ เสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อมา<br />ความขัดแย้งในคณะราษฏร<br />รัฐบาลพระยาพหลฯบริหารประเทศในลักษณะที่ไม่ค่อยราบรื่น เนื่องจากถูกสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรโจมตีในเรื่องความไม่สุจริต และเกิดความขัดแย้งในคณะรัฐมนตรี ในที่สุดพระยาพหลฯ ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บุคคลที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อมาคือ พันเอกหลวงพิบูลสงคราม เมื่อเดือน ธันวาคม 2481<br />รัฐบาลของหลวงพิบูลสงครามมีศัตรูทางการเมืองอยู่มาก จึงดำเนินนโยบายสร้างความมั่นคงของรัฐบาลโดยการกวาดล้างจับกุมกลุ่มที่ต่อต้าน ซึ่งมีทั้งนายทหารที่เคยร่วมก่อการยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 รวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์บางท่าน รัฐบาลถึงกับประกาศพระราชบัญญัติศาลพิเศษเพื่อตัดสินลงโทษผู้ที่ต่อต้านรัฐบาลอย่างรุนแรง บางคนถึงกับถูกประหารชีวิต บางคนก็ถูกจำคุก<br />การปลุกความคิดชาตินิยมและความพยายามสร้างชาติไทยให้ยิ่งใหญ่<br />ประเทศมหาอำนาจในขณะนั้นได้แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มประเทศประชาธิปไตยซึ่งมีอังกฤษ ฝรั่งเศส และกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกอื่นๆ กลุ่มนี้มีอาณานิคมและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปทั่วโลก กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ ได้แก่ ประเทศเยอรมัน อิตาลี และญี่ปุ่น กลุ่มนี้มีอาณานิคมน้อยมากเมื่อเทียบกับกลุ่มแรก และยังถูกกลุ่มแรกขัดขวางกีดกันผลประโยชน์ทางการค้าไปทั่วโลก ทั้ง 2 กลุ่มจึงต่อสู้แข่งขันกัน โดยเฉพาะในเรื่องกำลังอาวุธ ทำให้สถานการณ์โลกเริ่มตึงเครียด กลุ่มที่ 2 เน้นนโยบายของชาติในเรื่องชาตินิยม มีการปลุกใจให้ประชาชนรักชาติอย่างรุนแรง ให้เชื่อมั่นในลัทธิทหารนิยม ปลุกใจประชาชนให้เกิดฮึกเหิมพร้อมที่จะทำสงคราม พร้อมทั้งชักชวนประเทศเล็กๆ ให้เสื่อมใสในหลักการของตน<br />การปลุกความคิดชาตินิยม<br />รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้ดำเนินนโยบายในลักษณะเผด็จการอยู่แล้ว จึงเอนเอียงไปทางกลุ่มที่ 2 ประกอบกับขณะนั้น ขบวนการกู้ชาติในประเทศต่างๆ ในทวีปเอเซียจึงเอนเอียงไปทางกลุ่มที่ 2 เป็นเวลาเดียวกับที่ขบวนการกู้ชาติในประเทศต่างๆในทวีปเอเซียปลุกเร้าประชาชนของตนให้ลุกขึ้นขับไล่มหาอำนาจตะวันตกที่เข้ามายึดครองเอเซียและให้คืนเอกราชให้แก่ประเทศของตน ญี่ปุ่นเห็นเป็นโอกาสในการโฆษณาลัทธิชาตินิยมจึงยุยงชาวเอเซียให้ร่วมมือกับญี่ปุ่นในการขับไล่ชาวผิวขาวให้ออกไปจากเอเซีย โดยมีคำขวัญว่า "เอเซียเพื่อเอเซีย"<br />พันเอกหลวงพิบูลสงครามซึ่งเป็นผู้ที่มีความคิดชาตินิยมอยู่แล้ว จึงดำเนินนโยบายสร้างชาติไทยให้เข็มแข็ง ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลของพันเอกหลวงพิบูลสงครามได้ประกาศนโยบายอย่างชัดแจ้งที่จะสร้างชาติให้ยิ่งใหญ่ด้วยวิธีการหลายๆ รูปแบบ ดังเช่น ก. ส่งเสริมการทำสวนครัว เลี้ยงสัตว์ ผลิตเครื่องใช้ด้วยตนเอง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกษตรกรไทยมีรายได้และไม่ลืมอาชีพดั้งเดิมของตน ไม่ต้องหวังพึ่พาอาศัยสินค้าจากต่างชาติ ข. ชักจูงโฆษณาให้คนไทยใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ เพื่อที่เงินตราของชาติจะได้ไม่รั่วไหลออกนอกประเทศ เศรษฐกิจของชาติก็จะมั่นคง รัฐบาลประกาศคำขวัญไปทั่วประเทศว่า "ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ" ค. ส่งเสริมให้คนไทยประกอบอาชีพค้าขายและสงวนอาชีพบางอย่าง ห้ามคนต่างด้าวทำ เพื่อให้คนไทยเป็นผู้ประกอบอาชีพแต่ฝ่ายเดียว สาเหตุเนื่องจากว่าในขณะนั้นคนต่างด้าวทั้งชาวยุโรป ชาวจีน และชาวอินเดียได้เข้ามาประกอบธุรกิจค้าขายจนร่ำรวย ในขณะเดียวกันชาวไทยต้องทำงานหนักในท้องไร่ท้องนามีฐานะยากจน รัฐบาลกลัวว่าพวกต่างด้าวจะเข้ามาควบคุมเศรษฐกิจของประเทศ จึงออกกฏหมายห้ามขาวต่างชาติทำอาชีพบางอย่าง เช่น อาชีพตัดผม เผาถ่าน เป็นต้น ง. โฆษณาชักจูงให้ประชาชนละทิ้งนิสัย ความประพฤติ และวัฒนธรรมแบบโบราณซึ่งชาวตะวันตกมองว่าเป็นสิ่งที่ล้าหลัง และให้คนไทยดำรงชีวิตตามแบบอย่างชาวตะวันตก เพื่อให้ชาวไทยเชิดหน้าชูตาเสมอชาวตะวันตก รัฐบาลจึงใช้วิธีประกาศห้ามคนไทยกินหมาก สตรีต้องไว้ผมยาวและสวมหมวกเมื่อออกจากบ้าน เลิกโจงกระเบน ให้สวมกระโปรงหรือนุ่งผ้าถึงแทน ชายไทยต้องแต่งชุดสากลและสวมหมวกตามแบบตะวันตก ปรับปรุงการเขียนภาษาไทยเสียใหม่ให้กะทัดรัด ฯลฯ จ. แต่งเพลงปลุกใจชาวไทยให้รักชาติมากมายหลายเพลงและให้สถานีวิทยุทุกแห่งเปิดเพลงเหล่านี้บ่อยๆ ทุกวัน ฉ.ตั้งกรมโฆษณาการ เพื่อทำหน้าที่ปลุกใจประชาชน โฆษณาถึงความรักชาติให้เชื่อฟังผู้นำ โดยมีคำขวัญว่า "เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย" จะเห็นได้ว่า กรมโฆษณานี้นอกเหนือจากทำหน้าที่ปลุกใจประชาชนให้รักชาติแล้ว ยังชักจูงประชาชนให้เชื่อมั่นในตัวผู้นำและแนวนโยบายเผด็จการอีกด้วย<br />สงครามกับฝรั่งเศส<br />ฝรั่งเศสได้ยึดดินแดนไทยไปมากมายโดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 อีกทั้งยังข่มเหงเอารัดเอาเปรียบคนไทยต่างๆ นานา ชาวไทยส่วนใหญ่ยังมีความเจ็บช้ำใจในเรื่องนี้อย่างไม่ลืม รัฐบาลหลวงพิบูลสงครามจึงพยายามโฆษณาตอกย้ำในสิ่งที่ฝรั่งเศสทำไว้อยู่ตลอดเวลา<br />ใน พ.ศ.2483 สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เกิดขึ้นในยุโรป รัฐบาลไทยได้ประกาศนโยบายเป็นกลาง กองทัพเยอรมันรักเข้าโจมตีฝรั่งเศสอย่างรวดเร็ว ฝรั่งเศสพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ และประกาศยอมแพ้ต่อเยอรมันในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2483<br />รัฐบาลฝรั่งเศสที่จัดตั้งขึ้นใหม่ภายหลังจากการแพ้สงคราม หวั่นเกรงว่าไทยอาจใช้กำลังเข้ายึดดินแดนบางส่วนของอินโดจีน จึงขอเจรจากับไทยเพื่อทำสัญญาไม่รุกรานกัน รัฐบาลไทยยินดีเจรจา แต่ขอให้ฝรั่งเศสคืนดินแดนบางส่วนของประเทศลาวในปัจจุบัน ซึ่งฝรั่งเศสยึดไปจากไทยกลับคืนให้ไทยเสียก่อน ฝรั่งเศสไม่ยอมตกลง ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฝรั่งเศสเริ่มเสื่อมทุกที ฝ่ายไทยกล่าวหาฝรั่งเศสว่าส่งเครื่องบินและกำลังทหารล่วงล้ำเขตแดนไทยและยั่วยุให้ไทยทำสงคราม ในขณะเดียวกันประชาชนไทย นิสิต นักศึกษาในกรุงเทพได้เดินขบวนเรียกร้องให้รัฐบาลส่งทหารไปยึดดินแดนไทยกลับคืนมาจากฝรั่งเศส<br />ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ.2484 เป็นต้นมา รัฐบาลไทยได้ประกาศสถานการณ์สงครามกับอินโดจีนของฝรั่งเศส และส่งกำลังทหารไทยรุกเข้าสู่อินโดจีน ยึดเมืองหลวงพระบาง จำปาศักดิ์ และอื่นๆ อีกหลายแห่ง<br />รัฐบาลญี่ปุ่นได้เสนอตัวเข้ามาไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส รัฐบาลไทยกับฝรั่งเศสยอมรับการไกล่เกลี่ย ในที่สุดทั้งสองฝ่ายได้ยุติสงครามกันในปลายเดือนกันยายน และเปิดประชุมเจรจากันที่กรุงโตเกียว นอกจากนั้นรัฐบาลได้สร้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการเสียสละชีวิตเพื่อชาติของทหารไทยในสงครามอินโดจีนอีกด้วย</span><br /><span style="font-family:arial;color:#000000;"></span><br /><a style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(51,51,51); PADDING-TOP: 0px; TEXT-DECORATION: underline" name="sect5"><span style="font-family:arial;color:#000000;"><span style="font-size:130%;color:#009900;">การเมืองการปกครองช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2</span> </span></a><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#000000;">เหตุการณ์ที่สำคัญและน่าสนใจในช่วงนี้มีดังต่อไปนี้<br />การประกาศสถานการณ์ความเป็นกลางของไทยในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้นมายุโรปในปี พ.ศ.2482 รัฐบาลไทยได้ประกาศยืนยันนโยบายเป็นกลางอย่างเคร่งครัด ในขณะนั้นญี่ปุ่นได้วางแผนการที่จะเข้าสู่สงครามโลก โดยใช้กำลังทหารของตนเข้าขับไล่ประเทศตะวันตกทั้งหมดออกจากทวีปเอเซีย เมื่อฝรั่งเศส อังกฤษ ประสบความเพลี่ยงพล่ำในยุโรป ญี่ปุ่นก็เปิดฉากโจมตีฐานทัพเรือของสหรัฐ ที่อ่าวเพิร์ล ตอนเช้ามืดของวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.2484 หรือตรงกับเช้ามืดของวันที่ 8 ธันวาคม ตามเวลาในประเทศไทยฐานทัพเรือของสหรัฐฯ ที่อ่าวเพิร์ลถูกทิ้งระเบิดเสียหายย่อยยับ พร้อมกันนั้นกองทัพญี่ปุ่นก็ยกพลขึ้นบกในดินแดนหลายแห่งในทวีปเอเซียรวมทั้งประเทศไทยด้วย<br />สำหรับประเทศไทย กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกบริเวณริ่มฝั่งทะเลไทยด้านตะวันออกไปจนถึงภาคใต้ ได้แก่ บางปู ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฏร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี รวมทั้งกองทัพญี่ปุ่นในอินโดจีนก็ได้รุกเข้าสู่จังหวัดพระตะบอง และจังหวัดพิบูลสงครามของไทยอีกด้วย<br />ในเกือบทุกแห่ง ทหาร ตำรวจ และยุวชนไทยได้เข้าต่อสู้ขัดขวางการรุกรานของญี่ปุ่นอย่างกล้าหาญสุดความสามารถ ญี่ปุ่นเรียกร้องให้ไทยยุติการต่อต้านและยินยอมให้ญี่ปุ่นยกทัพผ่านไทยเพื่อไปโจมตีมลายูและพม่า โดยญี่ปุ่นสัญญาว่าจะเคารพเอกราชและอธิปไตยของไทย รัฐบาลหลวงพิบูลสงคราม (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) เห็นว่า หากไทยยังสู้รบกับญี่ปุ่นต่อไป ประเทศไทยก็จะพินาศเพราะกำลังทหารและอาวุธของไทยไม่อาจต่อต้านญี่ปุ่นได้เลย ดังนั้นรัฐบาลจึงตกลงรับข้อเสนอของญี่ปุ่นและยุติการต่อต้านภายหลังจากที่ได้สู้รบกันนานประมาณ 4-5 ชั่วโมง<br />การประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตร<br />หลังจากที่ไทยยอมให้ญี่ปุ่นยกทัพผ่านประเทศไทยไปโจมตีประเทศเพื่อนบ้านนั้น ญี่ปุ่นพยายามเข้าแทรกแซงกิจการภายในของไทย พยายามที่จะบงการและบีบคั้นรัฐบาลไทยให้ปฏิบัติตามที่ญี่ปุ่นต้องการ ในขณะเดียวกันฝ่ายพันธมิตรก็ได้ส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดตามจุดยุทธศาสตร์ในกรุงเทพและหัวเมืองสำคัญ ทหารไทยจำเป็นต้องยิงต่อสู้กับเครื่องบินฝ่ายพันธมิตร ในที่สุดรัฐบาลก็ได้ประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตร ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเป็นผู้นำ เมื่อเดือน มกราคม พ.ศ.2485<br />นายปรีดี พนมยงศ์ หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ผู้หนึ่งในจำนวน 3 ท่าน ไม่เห็นด้วยกับการประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตรในครั้งนี้ จึงมิได้ลงนามในคำประกาศสงคราม คงมีแต่ผู้สำเร็จราชการอีก 2 ท่านเท่านั้นที่ได้ลงนาม<br />หลังจากนั้น ประเทศไทยก็ได้ตกอยู่ในสถานการณ์สงครามกับฝ่ายพันธมิตร และร่วมรบกับญี่ปุ่นอย่างเต็มตัว ญี่ปุ่นได้เอาใจไทยโดยกดินแดนที่ญี่ปุ่นตีมาได้กลับคืนไทย เพราะเคยเป็นดินแดนของไทยมาก่อน เช่น รัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปะลิส (ปัจจุบันอยู่ในปรเทศมาเลเซีย) เมืองเซียงตุง เมืองพาน (ปัจจุบันอยู่ในประเทศพม่า) ในขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็พยายามที่จะควบคุมรัฐบาลไทยให้ปฏิบัติไปตามที่ญี่ปุ่นต้องการ โดยเฉพาะในเรื่องผลประโยชน์ทางการเงิน การค้า และวัตถุดิบซึ่งญี่ปุ่นได้รับจากไทย<br />ขบวนการเสรีไทย<br />นายปรีดี พนมยงศ์ มีความเชื่อว่า ในสุดท้ายแล้วญี่ปุ่นต้องแพ้สงคราม หากไทยยังร่วมหัวจมท้ายกับญี่ปุ่น ไทยก็จะเป็นฝ่ายแพ้สงคราม อาจถึงขั้นพันธมิตรเข้ายึดครองประเทศไทยได้ ดังนั้น นายปรีดี พนมยงศ์ จึงจัดตั้งขบวนการเสรีไทย ใช้รหัสย่อว่าX.O.Group รวบรวมคนไทย ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใด อาชีพใด ทั้งที่พำนักอยู่ในประเทศไทยหรือต่างประเทศ ซึ่งมีอุดมการณ์ตรงกัน คือ ความมุ่งหมายในการขับไล่ญี่ปุ่นให้ออกไปจากผืนแผ่นดินไทย โดยมีนายปรีดี พนมยงศ์เป็นหัวหน้าใหญ่ ในขณะเดียวกันท่านก็ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อยู่ด้วย นับว่าเป็นโชคดีของประเทศไทยที่ญี่ปุ่นไม่รู้เลยว่า นายปรีดี พนมยงศ์ คือหัวหน้าใหญ่ของขบวนการเสรีไทย ต่อมาชายไทยทุกเพศทุกวัย ทุกอาชีพที่มีใจรักชาติต่างก็สมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกของขบวนการเสรีไทย ซึ่งได้ขยายงานไปสู่ต่างจังหวัด บรรดาคนหนุ่มๆ ได้รับการฝึกในการใช้อาวุธและยุทธวิธีการสู้รบตามป่าตามเขา สหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้สนับสนุนขบวนการเสรีไทยอย่างลับๆ โดยจัดส่งอาวุธยุทธปัจจัยต่างๆ ตลอดจนครูฝึกทหารมาฝึกเสรีไทย จำนวนสมาชิกของขบวนการเสรีไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับขีดความสามารถในการรบ<br />ทางด้านเสรีไทยนอกประเทศ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เอกอัครราชฑูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ประกาศไม่ยอมรับรู้และคัดค้านความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่น และการที่รัฐบาลไทยประกาศสงครามกับพันธมิตรนั้นเป็นเพราะญี่ปุ่นบีบบังคับ ประชาชนชาวไทยไม่เห็นด้วย โชคดีที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษเข้าใจไทยในเรื่องนี้ พร้อมทั้งสนับสนุนขบวนการเสรีไทยที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ เสรีไทยที่มีชื่อเสียงท่านนี้คือ นายป๋วย อึ้งภากรณ์ ได้ขึ้นเครื่องบินของฝ่ายพันธมิตรร่วมกับเสรีไทยนอกประเทศอีกหลายคนเข้าสู่ดินแดนไทยเพื่อร่วมมือกับเสรีไทยในประเทศ<br />สำหรับการบริหารประเทศของรัฐบาลในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นอกจากรัฐบาลประสบกับปัญหาที่ญี่ปุ่นพยายามบีบบังคับให้รัฐบาลยินยอมมอบผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้แก่ญี่ปุ่นแล้ว รัฐบาลยังประสบปัญหาในเรื่องที่รัฐบาลประกาศพระราชกำหนดย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เพชรบูรณ์ และพระราชกำหนดสร้างพุทธบุรีมณฑล พ.ศ.2487 เพื่อจัดสร้างศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาที่สระบุรี ปรากฏว่า สภาผู้แทนราษฏรไม่เห็นชอบกับพระราชกำหนดทั้ง 2 ฉบับ รัฐบาลหลวงพิบูลสงครามหรือจอมพลแปลก พิบูลสงคราม จึงกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่ง และนายควง อภัยวงศ์ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน<br />ต่อมาในปี พ.ศ.2488 กำลังกองทัพของญี่ปุ่นร่อยหรอและอ่อนเปลี้ยพ่ายแพ้แก่ฝ่ายพันธมิตรทุกแนวรบ ในขณะนั้นกองกำลังเสรีไทยนับแสนคนพร้อมที่จะลงมือขับไล่กองทหารญี่ปุ่นให้ออกจากผืนแผ่นดินไทยแล้ว แต่บังเอิญสหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดปรมาณู 2 ลูก ลงสู่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนสิงหาคม 2488 ยังผลทำให้ประชาชนญี่ปุ่นบาดเจ็บล้มตายจำนวนมหาศาล ญี่ปุ่นจึงประกาศยอมแพ้ต่อสหรัฐอเมริกา สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงยุติลง โดยที่เสรีไทยไม่ได้ลงมือขับไล่ญี่ปุ่นก็ยอมแพ้เสียก่อน</span><br /><span style="font-family:arial;color:#000000;"></span><br /><a style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(51,51,51); PADDING-TOP: 0px; TEXT-DECORATION: underline" name="sect6"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;">การเมืองการปกครองช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2- พ.ศ.2500</span></a><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#000000;">เหตุการณ์ที่สำคัญและน่าสนใจในช่วงนี้มีดังต่อไปนี้<br />การแก้ปัญหาเนื่องจากไทยอยู่ในฐานะผู้แพ้สงคราม<br />สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ประเทศไทยตกอยู่ในฐานะที่น่าเป็นห่วง เพราะรัฐบาลไทยได้ประกาศสงครามกับฝายสัมพันธมิตรในระหว่างสงคราม ซึ่งอาจจะทำให้ตกอยู่ในฐานะประเทศผู้แพ้สงครามก็ได้ ดังนั้นนโยบายของไทยที่จะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนก็คือ ทำอย่างไรจึงจะรอดพ้นจากฐานะผู้แพ้สงคราม<br />เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2488 ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินของไทยประกาศสันติภาพโดยถือว่าการประกาศสงครามของไทยต่อพันธมิตรในระหว่างสงครามนั้นเป็นโมฆะ และไทยพร้อมที่จะคืนดินแดนทีได้มาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้แก่อังกฤษและฝรั่งเศส หลังจากนั้น นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีก็ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลที่ฝ่ายพันธมิตรไว้วางใจเข้ารับตำแหน่งแทน นั่นก็คือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าเสรีไทยนอกประเทศที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษยอมรับ<br />ในเดือนกันยายน 2488 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี งานหลักของรัฐบาลชุดนี้ก็คือ การเจรจากับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเพื่อความเป็นเอกราชของชาติ โชคดีที่สหรัฐและอังกฤษไม่ติดใจไทยหรือคิดจะลงโทษอันเนื่องจากการที่เราประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ่รัฐบาลไทยก็ได้ประกาศคืนดินแดนให้แก่อังกฤษและฝรั่งเศส พร้อมทั้งให้ความร่วมมืออื่นๆ หลายประการ นอกจากนั้นรัฐบาลไทยยังได้ประกาศบริจาคข้าวสารจำนวน 1.5 ล้านตัน ให้แก่อังกฤษ เพื่ออังกฤษจะได้นำไปช่วยเหลือประชาชนที่อดอยากตามประเทศต่างๆ ในที่สุดปัญหาที่น่าวิตกของไทยเราก็ค่อยๆ ผ่านพ้นไปด้วยดี ไทยเราสามารถดำรงเอกราชไว้ได้ในขณะที่ญี่ปุ่นถูกสหรัฐอเมริกาเข้ายึดครองและปกครองประเทศไปตามนโยบายของสหรัฐอเมริกา การที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษไม่คิดลงโทษ ก็เนื่องมาจากคุณงามความดีของขบวนการเสรีไทยนั้นเอง<br />ในเดือนมกราคม 2488 รัฐบาลได้จัดให้มีการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฏรกันใหม่ นับตั้งแต่นั้นมาการเมืองของไทยก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอยตามระบอบรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับ 2489 เป็นรัฐธรรมนูญที่มีลักษณะรูปแบบเป็นประชาธิปไตยมากกว่าฉบับก่อนๆ อนุญาตให้จัดตั้งพรรคการเมืองต่างๆ ได้ ดังนั้นพรรคการเมืองรุ่นแรกๆ ที่ถือกำเนิดขึ้นในขณะนั้นได้แก่ พรรคสหชีพ พรรคแนวรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์ (นายควง อภัยวงศ์ เป็นหัวหน้า) พรรคกสิกร พรรคธรรมาธิปัตย์ พรรคก้าวหน้า พรรคประชาชน ฯลฯ พรรคต่างๆ ที่กล่าวนามมานี้มีอยู่พรรคเดียวที่ยังดำเนินงานทางการเมืองจนถึงปัจจุบัน คือ พรรคประชาธิปปัตย์<br />นายควง อภัยวงศ์ (พ.ต.ควง อภัยวงศ์) เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจาก ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช คือ แต่ดำรงตำแหน่งได้ไม่กี่เดือนก็ต้องลาออก เนื่องจากไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำและภาวะเงินเฟ้ออย่างร้ายแรงอันเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่ 2<br />การเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 และผลกระทบ<br />ในเดือนมีนาคม 2489 นายปรีดี พยมยงศ์ ได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่นายปรีดี เข้าบริหารงานของประเทศได้ไม่ทันไรก็เกิดปัญหาร้ายแรงของประเทศ กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดลเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 เนื่องจากต้องอาวุธปืน รัฐบาลนายปรีดี ซึ่งได้ขอความเห็นชอบต่อสภาฯ ในการกราบบังคมทูลอัญเชิญสมเด็จพระน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อไป<br />ปัญหาที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลต้องอาวุธปืนนั้น รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ดำเนินการสอบสวนแต่ก็ไม่สามารถสรุปถึงสาเหตุของปัญหานั้นได้ เมื่อรัฐบาลไม่สามารถอธิบายสาเหตุที่แท้จริงได้ ประกอบกับประชาชนและพรรคฝ่ายค้านต่างก็พากันตำหนิรัฐบาลอย่างรุนแรง นายปรีดี พนมยงค์ จึงแสดงความรับผิดขอบโดยการกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เข้าดำรงตำแหน่งแทน เมื่อเดือน สิงหาคม 2489<br />การแย่งชิงอำนาจระหว่างนักการเมือง และระหว่างทหารบกกับทหารเรือ<br />การเมืองไทยเริ่มประสบความยุ่งยากอันเนื่องมาจากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัญหาเศรษฐกิจของชาติเสื่อมโทรมมาอย่างต่อเนื่อง เกิดภาวะเงินเฟ้อ สินค้าราคาแพง เครื่องอุปโภคบริโภคขาดแคลนอย่างรุนแรง โจรผู้ร้ายชุกชุม รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ นอกจากนั้นรัฐบาลยังถูกตำหนิติเตียนในเรื่องพฤติกรรมฉ้อราษฏร์บังหลวง พรรคฝ่ายค้าน คือ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ถือโอกาสเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอย่างรุนแรง<br />ในที่สุดฝ่ายพลเรือนซึ่งมีพลโทผิน ชุณหะวัน เป็นหัวหน้า จึงได้ก่อการรัฐประหารเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2490 คณะรัฐประหารได้มอบอำนาจให้นายควง อภัยวงศ์ เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล รัฐบาลนายควงได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ในเดือน มกราคม 2491 ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก นายควง อภัยวงศ์จึงเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง แต่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่นาน กลุ่มรัฐประหารชุดเดิมได้บังคับให้นายควง ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือน เมษายน 2491 จากนั้นจอมพลแปลก พิบูลสงครามก็ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี<br />สรุปได้ว่า การเมืองไทยภายใต้การบริหารงานของนักการเมืองหลังสงครามโลกประสบกับปัญหามากมาย โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งในหมู่นักการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการฉ้อราษฏรบังหลวง เมื่อไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ฝ่ายทหารก็ฉวยโอกาสโดยอ้างความล้มเหลวเข้ายึดอำนาจ และในที่สุดนับจากนั้นมาการเมืองไทยก็ตกอยู่ใต้อำนาจของทหาร<br />ความขัดแย้งทางการเมือง (ช่วง 2491-2500) เมื่อจอมพลแปลก พิบูลสงครามได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งในปี 2491 ภายหลังจากที่ได้บีบให้นายควง ลาออกจากตำแหน่งแล้ว ความยุ่งยากทางการเมืองก็ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง นำไปสู่การกบฏของกลุ่มบุคคลที่ไม่พอใจรัฐบาล มีการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายและตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ปัญหาดังกล่าวทำให้ความหวังของการพัฒนาทางด้านการเมืองการปกครองไทยเพื่อก้าวไปสู่ระบอบประชาธิปไตยต้องหยุดชะงักลง ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร แทนที่รัฐบาลจะได้ทุ่มเทความสามารถเพื่อพัฒนาประเทศ กลับใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อรักษาอำนาจของตน ความยุ่งยากทางการเมืองไทยระหว่าง ช่วง 2491-2500 สรุปเหตุการณ์ต่างๆ ได้ดังนี้<br />การแย่งชิงอำนาจระหว่างฝ่ายจอมพลแปลก พิบูลสงคราม กับฝ่ายนายปรีดี พนมยงค์ซึ่งมีอดีตสมาชิกขบวนการเสรีไทยให้การสนับสนุน รัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงครามเกรงว่าฝ่ายนายปรีดีจะหาโอกาสล้มอำนาจของตน จึงมีการจับกุมบุคคลสำคัญๆ ของพรรคสหชีพซึ่งมีนายปรีดี เคยเป็นหัวหน้าพรรคนี้ บางคนก็ถูกยิงตาย นักการเมืองจำนวนมากถูกจับเข้าคุก บางส่วนต้องหนีไปต่างประเทศ (รวมทั้งนายปรีดี) หรือไม่ก็หลบหนีเข้าป่า<br />เกิดกบฏขึ้นหลายครั้งเพื่อต่อต้านรัฐบาลของจอมพลแปลก เช่นกบฏวังหลวง เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2492 มีการปะทะกันบริเวณพระบรมมหาราชวังอย่างรุนแรง ผลปรากฏว่าฝ่ายกบฏเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ นอกจากนี้ก็มีกบฏแมนฮัตตัน เกิดขึ้นเมื่อ 2494 โดยกลุ่มนายทหารกลุ่มหนึ่งบุกเข้าจับกุมจอมพลแปลก ในขณะเป็นประธานพิธีรับมอบเรือขุดสันดอนชื่อ แมนฮัตตัน ซึ่งรัฐบาลอเมริกันเป็นผู้มอบให้ กลุ่มกบฏได้นำจอมพลแปลกไปขังไว้ในเรือรบชื่อศรีอยุธยา เพื่อต่อรองกับรัฐบาล ฝ่ายรัฐบาลไม่ฟังเสียงและลงมือปราบปรามอย่างเด็ดขาด โดยส่งเครื่องบินเข้าทิ้งระเบิดเรือศรีอยุธยาจนจมลง แต่จอมพลแปลกว่ายน้ำหนีเข้าฝั่งได้ กลุ่มกบฏไม่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเรือส่วนใหญ่ ในไม่ช้าก็ถูกรัฐบาลปราบจนราบคาบ หลังจากการปราบกบฏรัฐบาลได้ใช้นโยบายตัดทอนกำลังและอาวุธของกองทัพเรือ จนทำให้กองทัพเรือลดกำลังและความสามารถลงไปเป็นอันมาก แต่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งเมื่อสิ้นสมัยจอมพลแปลกไปแล้ว<br />มีการแก้ไขปรับปรุงและประกาศใช้รัฐธรรมนูญหลายฉบับ แต่สาระของรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่มุ่งรักษาอำนาจของคณะรัฐประหารหรือผู้ที่กุมอำนาจทางการเมืองมิได้มุ่งเพื่อสร้างสรรค์ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย<br />การใช้กำลังตำรวจเพื่อรักษาอำนาจของตนไว้อย่างมั่นคง โดยการเสริมสร้างกรมตำรวจทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์เช่นเดียวกับทหาร และเพิ่มกำลังพลจนเทียบเท่ากองพล นอกจากนั้นยังใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือในการปราบปรามฝ่ายตรงข้าม ทำให้ประชาชนในสมัยนั้นหวาดกลัวตำรวจไปทั่วบ้านทั่วเมือง<br />บุคคลใดที่คัดค้านรัฐบาลมักจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และถูกจับกุมคุมขังโดยไม่มีการไต่สวนฟ้องร้อง<br />ผู้นำประเทศพยายามสร้างดุลอำนาจระหว่างกรมตำรวจกับกองทัพบกเพื่อรักษาอำนาจของตน ดังเช่นจอมพลแปลก นายกรัฐมนตรี สนับสนุนให้ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ สร้างกรมตำรวจจนเป็นกองทัพที่ใหญ่โนเพื่อรักษาอำนาจดังกล่าว ในขณะเดียวกันก็สนับสนุนกลุ่มนายทหารภายใต้การนำของ พ.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์(ยศในขณะนั้น) ไว้คอยถ่วงดุลอำนาจกับกรมตำรวจ<br />การก้าวขึ้นสู้อำนาจของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์<br />การรัฐประหาร พ.ศ.2500 สาเหตุก็เนื่องมาจากว่ากลุ่มของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ กับกลุ่มของ พ.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (ต่อมาคือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์) ขัดแย้งกันเรื่อยมาด้วยเรื่องการเมืองและเรื่องของผลประโยชน์หลายเรื่อง ความขัดแย้งได้เพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จอมพลแปลกได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้ทั้งสองฝ่ายประนีประนอมกันแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2500 รัฐบาลได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ผลปรากฏว่าพรรคเสรีมนังคศิลา ซึ่งเป็นของฝ่ายรับบาลได้โกงการเลือกตั้งครั้งใหญ่ทั่วประเทศ ประชาชน นิสิต นักศึกษาในกรุงเทพฯ จำนวนมากมายซึ่งไม่พอใจในการบริหารงานของรัฐบาลอยู่แล้ว ได้พากันเดินขบวนประท้วงและขับไล่รัฐบาล จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้ออกมาพบประชาชนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ และให้ความหวังแก่ประชาชนในทางที่ดี ฝูงชนจึงสลายตัวไป จอมพลสฤษดิ์ก็ได้รับความนิยมจากประชาชนเพิ่มขึ้นตั้งแต่นั้นมา<br />ในที่สุดฝ่ายทหารภายใต้การนำของจอมพลสฤษดิ์ ก็ได้ยื่นคำขาดต่อ จอมพลแปลก นายกรัฐมนตรี ให้แก้ไขสถานการณ์ทางการเมืองโดยด่วน เมื่อไม่ได้ผลฝ่ายทหารจึงถอนตัวออกจากการสนับสนุนรัฐบาล ในไม่ช้าจอมพลสฤษดิ์ ก็ได้เป็นผู้นำทำการรัฐประหาร ในปี พ.ศ.2500 นั้นเอง จอมพลแปลกต้องพลบหนีออกนอกประเทศ และพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ก็ถูกคณะรัฐประหารบังคับให้ออกนอกประเทศ<br />หลังจากทำการรัฐประหารได้สำเร็จ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่และมอบให้นายพจน์ สารสินเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ต่อมารัฐบาลได้จัดให้มีการเลือกตั้งกันอีกครั้งหนึ่ง การเลือกตั้งในครั้งนี้มีพรรคสหภูมิซึ่งเป็นพรรคที่จอมพลสฤษดิ์ สนับสนุนได้ลงสมัครรับเลือกตั้งด้วยผลของการเลือกตั้งปรากฏว่าพรรคสหภูมิได้รับการเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมาก รองลงไปคือ พรรคประชาธิปัตย์<br />พลโทถนอม กิตติขจร (ยศในขณะนั้น) ได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบแทนนายพจน์ สารสิน การบริหารประเทศของรัฐบาลพลโทถนอม ประสบปัญหายุ่งยาก และวุ่นวาย เนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรฝ่ายรัฐบาลเรียกร้องผลประโยชน์และตำแหน่งต่างๆ ในทางการเมือง นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องการทุจริตฉ้อราษฏร์บังหลวงอีกด้วย ปัญหาความวุ่นวายเพิ่มขึ้นจน พลโทถนอม ไม่อาจแก้ไขปัญหาได้ ในวันที่ 20 ตุลาคม 2501 จอมพลสฤษดิ์ ได้เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารยึดอำนาจอีกครั้งหนึ่ง โดยมีพลโทถนอม เข้าร่วมด้วย เมื่อยึดอำนาจได้สำเร็จแล้ว จอมพลสฤษดิ์ก็ประกาศล้มเลิกรัฐธรรมนูญ และแต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อทำหน้าที่นิติบัญญัติ และร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่ ครั้งนี้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จัดตั้งคณะรัฐบาลบริหารประเทศจนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมในปี 2506</span><br /><span style="font-family:arial;color:#000000;"></span><br /><a style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(51,51,51); PADDING-TOP: 0px; TEXT-DECORATION: underline" name="sect7"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;">การเมืองการปกครองไทยช่วง พ.ศ.2501-ปัจจุบัน</span></a><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#000000;">เหตุการณ์ที่สำคัญและน่าสนใจในช่วงนี้สรุปได้ดังนี้<br />การปกครองแบบเผด็จการแต่มุ่งพัฒนาประเทศของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์<br />สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (พ.ศ. 2501-2506) การปกครองของไทยไม่มีรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน มีแต่รัฐธรรมนูญการปกครองกำหนดขอบเขตการบริหารประเทศอย่างกว้างๆ ไม่มีสมาชิกสภาผู้แทนทำหน้าที่นิติบัญญัติหรือคอยควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล จอมพลสฤษดิ์ได้รวบอำนาจการปกครองทั้งหมดมาไว้ที่ตนคนเดียว จอมพลสฤษดิ์จึงสามารถสั่งการใดๆ ออกกฏหมายใดๆ รวมไปถึงการใช้อำนาจตามมาตรา 17 ของรัฐธรรมนูญการปกครอง สั่งประหารชีวิตหรือจำคุกผู้ต้องสงสัยบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศได้โดยไม่ต้องผ่านการฟ้องร้องต่อศาล<br />จอมพลสฤษดิ์มีความตั้งใจที่จะบริหารประเทศให้เกิดความสงบสุขและความเจริญก้าวหน้าจึงใช้อำนาจเด็ดขาดดำเนินการแก้ไขปัญหาของประเทศจนได้รับความสำเร็จหลายประการ เช่น ปราบปรามอันธพาลที่ก่อกวนทำลายความสงบสุขของประชาชน ปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างเด็ดขาด แต่ก็มีผลเสียคือ ผู้บริสุทธิ์หลายคนซึ่งคัดค้านวิธีการปกครองของจอมพลสฤษดิ์ต้องถูกจำคุกโดยไม่มีการไต่สวนความผิด แต่ถูกตั้งข้อหาคอมมิวนิสต์หรือข้อหาอันธพาล บางส่วนก็หลบหนีเข้าป่าเพื่อซ่องสุมกำลังต่อต้านรัฐบาลต่อไป<br />ทางด้านการพัฒนาประเทศ จอมพลสฤษดิ์มุ่งพัฒนาทางด้านสาธารณูปโภคเป็นการใหญ่ เช่น ไฟฟ้า ประปา ถนนหนทาง การชลประทาน เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนทางด้านอุตสาหกรรม จัดตั้งมหาวิทยาลัยและกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยได้รับการพัฒนาให้เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น<br />แม้ว่าประเทศไทยในช่วงนี้จะมีความสงบสุขและพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าในทุกด้านก็ตาม แต่ประชาชนก็หมดสิทธิ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล มีการควบคุมหนังสอืพิมพ์อย่างเด็ดขาด นักศึกษาจะจัดกิจกรรมที่กระทบกระเทือนต่อรัฐบาลมิได้ มีการประกาศใช้กฏหมายหลายฉบับเพื่อควบคุมสิทธิเสรีภาพของประชาชน<br />จอมพลสฤษดิ์ ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2506 พลเอกถนอม กิตติขจร รองนายกรัฐมนตรีได้เข้ารับตำแหน่งแทน ต่อมาในปี 2511 สภาร่างรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อย จึงได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี พ.ศ.2511ในเดือนกุมภาพันธ์ 2512 รัฐบาลได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั่วประเทศ ภายหลังจากการว่างเว้นการเลือกตั้งมานานหลายปี<br />การเลือกตั้งในครั้งนี้ พรรคสหประชาไทยของรัฐบาลได้เสียงข้างมาก จอมพลถนอม กิตติขจร จึงเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง หลังจากบริหารประเทศได้ไม่นานนัก ปัญหาต่างๆ ก็ได้ประดังเข้ามาสู่รัฐบาลจนแทบตั้งตัวไม่ติด เช่น ปัญหาที่สหรัฐอเมริกาใช้ประเทศไทยเป็นฐานทัพในการส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดในอินโดจีน ปัญหาที่รัฐบาลร่วมมือ กับสหรัฐอเมริกาส่งทหารไปรบในลาวและเวียดนามโดยอ้างว่าเพื่อปราบปรามคอมมิวนิสต์นอกประเทศ นอกจากนั้นรัฐบาลยังมีนโยบายปราบปรามคอมมิวนิสต์ในประเทศอย่างรุนแรง ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยประกาศสงครามกับรัฐบาล จนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลตามจังหวัดต่างๆ หลายแห่ง เป็นผลทำให้รัฐบาลต้องใช้เงินงบประมาณจำนวนมากในการปราบปรามคอมมิวนิสต์ แต่ยิ่งปราบปรามรุนแรงมากเท่าไหร่พรรคคอมมิวนิสต์ก็ยิ่งขยายแนวร่วมมากยิ่งขึ้น ซึ่งได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศในเวลาต่อมา<br />ทางด้านการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรและนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลก็ยังมีการเรียกร้องผลประโยชน์ต่างๆ ก่อให้เกิดความแตกแยก และยังมีปัญหาเรื่องการทุจริตเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย<br />การตื่นตัวในระบอบประชาธิปไตยและบทบาทของขบวนการนิสิตนักศึกษาและปัญญาชน<br />ประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายและเสื่อมความนิยมต่อรัฐบาลมากขึ้นตามลำดับ โดยกลุ่มปัญญาชน นิสิต นักศึกษา ต่างพากันไม่พอใจรัฐบาลที่ไม่ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนอย่างเต็มที่ แทนที่รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยวิธีทางการเมือง แต่จอมพลถนอม กิตติขจร กลับหันไปใช้วิธีแบบเก่า คือ ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจตัวเอง ประกาศล้มเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2511 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2541 กลับไปใช้รูปแบบการปกครองแบบเผด็จการอีก<br />การก่อรัฐประหารตนเองของจอมพลถนอม กิตติขจรในครั้งนี้ก่อให้เกิดความไม่พอใจของกลุ่มประชาชน นิสิต นักศึกษาที่รักประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยของประเทศต้องถอยหลังอีกครั้งหนึ่ง กลุ่มปัญญาชนทั้งนิสิต นักศึกษาในกรุงเทพและต่างจังหวัดได้เริ่มรวมตัวกันเป็นองค์กรที่เข็มแข็ง โดยใช้ชื่อว่า ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย เรียกร้องให้รัฐบาลจัดการร่างรัฐธรรมนูญให้มีลักษณะประชาธิปไตยให้เสร็จอย่างรวดเร็ว แต่รัฐบาลก็ไม่สามารถที่จะร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จอย่างรวดเร็วได้ ความไม่พอใจรัฐบาลได้สูงขึ้นเรื่อยๆ ปัญญาชนและนิสิต นักศึกษาบางกลุ่มได้แจกใบปลิวเรียกร้องให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ รัฐบาลได้สั่งตำรวจจับกุมพวกที่แจกใบปลิว 13 คนและตั้งข้อหาก่อการกบฏ การกระทำของรัฐบาลในครั้งนี้ ประชาชน นิสิต นักศึกษาทั่วประเทศต่างพากันคัดค้านรัฐบาลอย่างรุนแรง<br />ในวันที่ 13 ตุลาคม 2516 คลื่นประชาชน นิสิต นักศึกษาจำนวนหลายแสนคน ได้เดินขบวนประท้วงรัฐบาลครั้งใหญ่ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาสู่ลานพระบรมรูปทรงม้า รัฐบาลเริ่มหวั่นวิตกเกรงว่าเหตุการณ์จะบานปลายจึงยอมปล่อยตัวกลุ่มที่แจกใบปลิว และให้คำมั่นว่าจะร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จโดยเร็ว เหตุการณ์มีทีท่าว่าจะเรียบร้อยเพราะตกลงกันได้ แต่แล้วสถานการณ์กลับพลิกผันไปสู่ความเลวร้ายโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเช้าในวันที่ 14 ตุลาคม ในขณะที่ประชาชนและนักศึกษาจะกลับบ้าน ภายหลังการสลายตัวจากการชุมนุมประท้วงรัฐบาล เกิดปะทะกันกับตำรวจ เรื่องได้ลุกลามไปจนถึงขั้นมีการส่งทหารและรถถังเข้าระงับเหตุการณ์ เกิดการปะทะระหว่างทหารกับประชาชน นิสิต นักศึกษา ซึ่งมีไม้ ก้อนหิน และอาวุธปืนเล็กๆ เป็นอาวุธ ทหารได้ใช้อาวุธปืนสงครามและแก๊สน้ำตายิงเข้าใส่กลุ่มที่ก่อการจลาจล ทำให้เกิดการบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก<br />เหตุการณ์ในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงระงับเหตุการณ์โดยทรงขอร้องให้ทุกฝ่ายยุติการต่อสู้กัน เหตุการณ์จึงได้นำไปสู่ความสงบเรียบร้อยในวันรุ่งขึ้น โดยผู้นำรัฐบาลคือ จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร ได้เดินทางไปพำนักยังต่างประเทศ<br />ความตื่นตัวในการปกครองระบอบประชาธิปไตย<br />เมื่อเกิดเหตุการณ์ มหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 ผ่านพ้นไปแล้ว รัฐบาลนายสัญญา ธรรมศักดิ์ได้จัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ และพยายามบริหารประเทศในลักษณะประคับประคองมิให้เกิดความแตกแยกเกิดขึ้นในชาติ ในขณะเดียวกันนิสิต นักศึกษา มีความตื่นตัวในเรื่องประชาธิปไตยกันมาก มีการจัดกิจกรรมเผยแแพร่ประชาธิปไตยแก่ชาวชนบท เพื่อให้ชาวชนบทเข้าใจในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยและรู้จักเลือกผู้แทนราษฏรที่ดีในฐานะเป็นตัวแทนของประชาชน<br />รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ประกาศใช้ในปี 2517 นับเป็นรัฐธรรมนูญที่กำหนดรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ค่อนข้างสมบูรณ์และดีมากฉบับหนึ่ง หลังจากนั้นรัฐบาลนายสัญญา ธรรมศักดิ์ได้จัดให้มีการเลือกตั้งในเดือนมกราคม 2518 ภายหลังการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงมากว่าทุกพรรค ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคจึงได้จัดตั้งรัฐบาล แต่เมื่อแถลงนโยบายต่อสภา ปรากฏว่าไม่ได้รับความไว้วางใจ<br />ในที่สุด ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม ซึ่งมีสมาชิกในสภาเพียง 18 เสียง ได้รวบรวมพรรคเล็กๆ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลจนสำเร็จ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่การบริหารประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ประสบอุปสรรคมากมายหลายประการ เป็นต้นว่า การประท้วงและเรียกร้องผลประโยชน์ของกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มชาวนา กลุ่มนิสิตนักศึกษา กลุ่มกรรมกร ซึ่งใช้วิธีบีบรัฐบาลด้วยการนัดหยุดงาน นอกจากนั้นยังเกิดความขัดแย้งในคณะรัฐบาลอีกด้วย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชจึงแก้ปัญหาด้วยการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเดือนเมษายน พ.ศ.2519<br />ผลการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้เสียงข้างมาก ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช์ จึงเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลผสมหลายพรรค แต่การบริหารประเทศเป็นไปอย่างไม่ราบรื่น เนื่องจากเกิดความขัดแย้งในระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล และเกิดปัญหากลุ่มพลังต่างๆ ประท้วงและบีบรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกลุ่มนิสิต นักศึกษาซึ่งคัดค้านการเดินทางกลับเข้าประเทศของจอมพลถนอมและจอมพลประภาส ในขณะนั้นได้มีการจัดตั้งกลุ่มพลังบางกลุ่มเพื่อต่อต้านนิสิต นักศึกษา มีการปลุกระดมโฆษณาว่านักศึกษาเป็นพวกคอมมิวนิสต์<br />ความขัดแย้งระหว่างขบวนการเผด็จการกับขบวนการประชาธิปไตย<br />เหตุการณ์ที่นำไปสู่ความร้ายแรงและเป็นเหตุให้คนไทยต้องฆ่าฟันกันเอง ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ในขณะที่นิสิต นักศึกษาและประชาชนต่างชุมนุมคัดค้านการกลับเข้าประเทศของจอมพลถนอม และจอมพลประภาส ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อยู่นั้น ได้มีผู้สั่งการไม่ทราบว่าเป็นใครให้ตรำวจและประชาชนผู้ถืออาวุธกลุ่มหนึ่งบุกเข้าโจมตีและฆ่าฟันผู้ที่อยู่ในที่ชุมนุมจนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันกลุ่มที่มีแนวความคิดต่อค้านคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรงได้ชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก ในวันเดียวกัน เวลาประมาณ 18.00 น. พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ ร่วมด้วยผู้นำทุกเหล่าทัพได้ประกาศยึดอำนาจการปกครองประเทศ โดยเรียกคณะผู้ก่อการว่า คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน<br />หลังจากนั้น นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐบาลชุดนี้ได้ดำเนินนโยบายเข้มงวด ควบคุมความคิดเสรีนิยม เกิดปัญหาขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน มีการนำรูปแบบเผด็จการมาใช้อีก ทำให้นักศึกษา ปัญญาชนถูกกดดันจึงหนีเข้าป่าไปร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์มีความเข็มแข็งขึ้น และได้เปิดฉากทำสงครามกองโจรกับรัฐบาลหลายแห่งทั่วประเทศ<br />ทางฝ่ายทหารวิเคราะห์ว่า หากปล่อยให้รัฐบาลชุดนี้ดำเนินการบริหารประเทศต่อไปจะเกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศ จึงได้ยึดอำนาจอีกครั้งหนึ่งเมื่อ วันที่ 20 ตุลาคม 2520 เมื่อยึดอำนาจสำเร็จแล้ว พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นได้มีการร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่อีก รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้ในปี 2521 มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 22 เมษายน 2522 ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2522 พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 2 รัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ได้พยายามแก้ไขปัญหาความแตกแยกภายในชาติและปัญหาผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ โดยพยายามกระชับสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้าน และให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้น แต่รัฐบาลก็ประสบปัญหาเรื่องน้ำมันในตลาดโลกราคาสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในประเทศไทยให้สูงตามไปด้วย ก่อให้กิดภาวะสินค้าราคาแพง ค่าครองชีพสูง รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ จึงลาออกจากตำแหน่ง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผู้บัญชาการหทหารบกได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมือง และฝ่ายทหาร ได้รับการเสนอชื่อต่อสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรีในเดือน มีนาคม 2523<br />การฟื้นฟูประชาธิปไตยและการแก้ไขปัญหาคอมมิวนิสต์<br />รัฐบาลพลเอกเปรม ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายทหารและพรรคการเมืองต่างๆ จึงสามารถบริหารประเทศไปด้วยดี พลเอกเปรมดำเนินนโยบายให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนมากยิ่งขึ้น ในขณะที่การปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ รัฐบาลใช้นโยบาย "การเมืองนำหน้าการทหาร" กล่าวคื อเปลี่ยนแปลงนโยบายจากเดิมซึ่งมุ่งปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ด้วยกำลังทหารมาเป็นการมุ่งพัฒนาประชาชนในชนบทให้กินดีอยู่ดี ให้ความเป็นธรรมแก่ราษฏร เลิกใช้วิธีการที่เจ้าหน้าที่กดขี่ข่มเหงราษฏร ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้ราษฏรในชนบทหันไปร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์ และโฆษณาชักจูงให้ประชาชนร่วมมือกับรัฐบาลในการพัฒนาท้องถิ่น<br />ผลปรากฏว่านโยบายดังกล่าวประสบผลสำเร็จด้วยดี จำนวนผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ลดลง โดยออกมาเข้าร่วมเป็นผู้พัฒนาชาติไทย ประกอบกับรัฐบาลดำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยการสร้างความเป็นมิตรกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศจีน ทำให้มิตรประเทศเพื่อนบ้านลดการให้ความช่วยเหลือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็อ่อนกำลังลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไม่สามารถใช้กำลังก่อการร้ายได้อีกต่อไป<br />แม้ว่าการเมืองและเศรษฐกิจของไทยในสมัยรัฐบาลพลเอกเปรมเป็นไปด้วยดีและก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ แต่ก็ยังเกิดความวุ่นวายทางการเมืองขึ้น 2 ครั้ง คือ การก่อกบฏของกลุ่มนายทหารยังเตอร์กเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2524 และการก่อกบฏของกลุ่มนายทหารนอกราชการ ในวันที่ 9 กันยายน 2528 กบฏทั้งสองนี้ได้ถูกปราบปรามลงอย่างราบคาบ<br />พลเอกเปรมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเวลา 8 ปี ตั้งแต่ปี 2523-2531 และตั้งแต่ปี 2529 เป็นต้นมาเศรษฐกิจไทยได้เจริญก้าวหน้า นายทุนจากต่างประเทศหันมาสนใจลงทุนทำธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้เงินตราจากต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาสู่ประเทศไทย ภายหลังการเลือกตั้งปี 2531 แล้ว พลเอกเปรม ได้ปฏิเสธที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีก พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคชาติไทยจึงได้ดำรงตำแหน่งแทน<br />ในช่วงสมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย (2531-2534) เศรษฐกิจไทยยังคงรุ่งเรืองต่อจากรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แต่รัฐบาลก็ถูกตำหนิติเตียนในเรื่องที่รัฐมนตรีบางคนมีพฤติกรรมฉ้อราษฏร์บังหลวง และรัฐบาลยังมีปัญหาขัดแย้งกับฝ่ายทหารอีกด้วย<br />การรัฐประหารของสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติและการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย<br />รัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ได้มีความขัดแย้งระหว่างทหารกับรัฐบาล อันนำไปสู่การรัฐประหาร โดยคณะนายทหารระดับสูงจากทุกเหล่าทัพ โดยมีพลเอกสุนทร คงสมพงษ์เป็นหัวหน้าได้ประกาศยึดอำนาจในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ทั้งนี้โดยอ้างเหตุผลว่ารัฐบาลปล่อยให้มีการฉ้อราษฏร์บังหลวง คณะรัฐประหารได้เรียกคณะของตนว่า "สภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)" และได้มอบหมายให้นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวบริหารงานต่อไป<br />นอกจากนี้สภา รสช.ได้จัดตั้งสภานิติบัญญัติและร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ การร่างรัฐธรรมนูญได้แล้วเสร็จในปลายปี พ.ศ.2534 อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มีประเด็นที่สร้างความไม่พอใจให้แก่นิสิต นักศึกษา และประชาชนเป็นอย่างมาก<br />ต่อมาในวันที่ 22 มีนาคม 2535 ได้จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป พรรคที่ได้รับเสียงข้างมากได้เป็นแกนกลางในการจัดตั้งรัฐบาล และได้มอบหมายให้พลเอกสุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้นและเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในสภา รสช. เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้สร้างความไม่พอใจให้แก่นิสิต นักศึกษา และประชาชนเป็นอย่างมาก ทำให้มีการเดินขบวนประท้วงคัดค้าน อันนำไปสู่เหตุการณ์ร้ายแรงในระหว่างวันที่ 17-19 พฤษภาคม 2535 ซึ่งนับว่าเป็นวันมหาวิปโยคของชาวไทยอีกครั้งหนึ่ง<br />เหตุการณ์ในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงขอร้องให้ทุกฝ่ายยุติความขัดแย้งและหันหน้ามาเจรจากันอย่างสันติ ในที่สุดเหตุการณ์ก็ได้สงบลง ทั้งนี้ก็เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระองค์ท่าน<br />หลังจากนั้น พลเอกสุจินดา คราประยูร ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฏรได้เสนอชื่อ นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และต่อมาได้มีการประกาศยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 13 กันยายน 2535 ผลของการเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งมากกว่าทุกพรรค จึงได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยมีนายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี คณะรัฐบาลนายชวน ได้บริหารประเทศมาได้ 2 ปี เกิดกรณีการจัดสรรที่ทำกินให้แก่ราษฏร และการถอนตัวของพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้ต้องประกาศยุบสภา และได้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 กรกฏาคม 2538 ปรากฏว่านายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อบริหารประเทศได้ระยะหนึ่งก็ต้องประสบกับปัญหาการขัดแย้งของพรรคร่วมรัฐบาล และการลาออกของคณะรัฐมนตรีจึงได้ประกาศยุบสภา และได้มีการเลือกตั้งในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 ผลการเลือกตั้งพรรคความหวังใหม่ได้คะแนนเสียงข้างมาก พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคจึงได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่การบริหารประเทศของพลเอกชวลิต ได้ประสบกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก จึงประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 ส่งผลให้นายชวน หลีกภัยผู้นำพรรคฝ่ายค้าน ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 - ปัจจุบัน หลังจากที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งทั่วไปอย่างท่วมท้น เมื่อ<br />วันที่ 16 มกราคม 2544</span>★♫♬♪❤→B A N K _ F R E E D O M←❤♪♫♬★http://www.blogger.com/profile/06142180092029955884noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24627727029158635.post-48233467783567468962010-09-11T07:13:00.000-07:002010-09-12T05:35:54.412-07:00พัฒนาการชาติไทยสมัยรัชกาลที่ 4-7<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhrQVLbO9uIOkPLXlFG-mWOXaWMnd3UT89cUsqOPnoAn-c3w1OOsxTZ47qdeKEfayEqY-9Q7TOro4nlbtzvkXD2SHv40H5TSJTziRU0B7eomL6cb6wmAIHX-Yw43Q82so3UkcQ4S0z0ErU/s1600/ramakings.jpg"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5515968531505369122" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 296px; CURSOR: hand; HEIGHT: 367px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhrQVLbO9uIOkPLXlFG-mWOXaWMnd3UT89cUsqOPnoAn-c3w1OOsxTZ47qdeKEfayEqY-9Q7TOro4nlbtzvkXD2SHv40H5TSJTziRU0B7eomL6cb6wmAIHX-Yw43Q82so3UkcQ4S0z0ErU/s400/ramakings.jpg" border="0" /></span></a><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="LINE-HEIGHT: 22px"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"> </span><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="COLOR: rgb(204,51,204);font-size:large;" ><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="LINE-HEIGHT: normal"><br /></span></span></span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#3333ff;">1. ด้านการปกครอง</span></div><span class="Apple-style-span"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;">แม้ว่ารัชกาลที่ 4 จะทรงมีพระราชอำนาจเด็ดขาดตามแบบพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช แต่พระองค์ก็ได้ทรงเริ่มปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติบางอย่าง เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาราษฎร์ โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างองค์พระมหากษัตริย์กับประชาชน รัชกาลที่ 4 ทรงพิจารณาว่าประเพณีบางอย่างที่เคยปฏิบัติกันมาแต่เดิม เช่น ห้ามราษฎรเข้าใกล้ชิดรวมทั้งมีการยิงกระสุนเวลาเสด็จพระราชดำเนินและบังคับให้ราษฎรปิดประตูหน้าต่างบ้านเรือน เป็นประเพณีที่ล้าสมัย ประเทศตะวันตกที่มีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็ไม่มีประเพณีตัดสิทธิราษฎรแบบนี้ จึงโปรดให้ยกเลิกประเพณีดังกล่าว อนุญาตให้ราษฎรเข้าเฝ้าโดยสะดวกและเปิดโอกาสให้ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนถวายฎีการ้องทุกข์ในขณะที่เสด็จพระราชดำเนินด้วย</span></div><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อพระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะใน พ.ศ.2416 และทรงว่าราชการด้วยพระองค์เอง จึงทรงเริ่มปรับปรุงการปกครองซึ่งเรียกว่า “การปฏิรูปการปกครอง”</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#cc33cc;">1. การปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 แบ่งเป็น 2 ระยะคือ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1.1 การปรบปรุงการปกครองประเทศในตอนต้นรัชกาล ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน หรือเรียกว่า “เคาน์ซิล ออฟ สเตท” (Council of State) และสภาที่ปรึกษาในพระองค์ หรือเรียกว่า “ปรีวี เคาน์ซิล” (Privy Council) สภาทั้งสองนี้มีหน้าที่ในการออกกฎหมายและยกเลิกกฎหมาย รวมทั้งยกเลิกประเพณีโบราณต่างๆ ที่เห็นว่าไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมในสมัยนั้น ปรากฏว่าสภาทั้ง 2 ดำเนินงานไปได้ไม่นาน ก็ต้องหยุดชะงักเพราะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่เรียกว่า“วิกฤตการณ์วังหน้า” (เป็นความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ซึ่งดำรงตำแหน่งวังหน้า อันเนื่องมาจากความหวาดระแวงซึ่งกันและกันจนเกือบจะมีการประทะกันระหว่างกัน) ขึ้นในปลาย พ.ศ.2417 แต่ก็สามารถยุติลงได้</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1.2 การปฏิรูปการปกครองในช่วงหลัง รัชกาลที่ 5 ทรงตระหนักถึงภยันตรายจากการแสวงหาอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจตะวันตก และทรงเห็นว่าลักษณะการปกครองของไทยใช้มาแต่เดิมล้าสมัยไม่สอดคล้องกับความเจริญก้าวของบ้านเมือง ดังนั้นใน พ.ศ.2430 ทรงเริ่มการปฏิรูปการปกครองแผนใหม่ตามแบบตะวันตก โดยเฉพาะในส่วนกลางมีการจัดแบ่งหน่วยงานการปกครองออกเป็น 12 กรม ซึ่งต่อมาเปลี่ยนไปใช้คำว่า “กระทรวง” แทนโดยประกาศสถาปนากรมหรือกระทรวงต่างๆ ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2435 และยังได้ประกาศตั้งเสนาบดีเจ้ากระทรวงต่างๆ ขึ้น ยุบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีและเสนาบดีจตุสดมภ์ทุกตำแหน่ง มีสิทธิเท่าเทียมกันในที่ประชุม ต่อจากนั้นได้ยุบกระทรวงและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเสียใหม่เหลือไว้เพียง 10 กระทรวง คือ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1. กระทรวงมหาดไทย</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2. กระทรวงกลาโหม</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">3. กระทรวงการต่างประเทศ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">4. กระทรวงวัง</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">5. กระทรวงเมือง (นครบาล)</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">6. กระทรวงเกษตราธิการ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">7. กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">8. กระทรวงยุติธรรม</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">9. กระทรวงธรรมการ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">10.กระทรวงโยธาธิการ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">11.(กระทรวงยุทธนาธิการ) ต่อมาไปอยู่กระทรวงกลาโหม เนื่องจากมีหน้าที่คล้ายคลึงกัน</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">12.(กระทรวงมุรธาธิการ) ต่อมาไปอยู่กระทรวงวัง เนื่องจากมีหน้าที่คล้ายคลึงกัน</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ส่วนภูมิภาค ได้ยกเลิกการจัดเมืองเป็นชั้นเอก โท ตรี จัตวา เปลี่ยนเป็นการปกครองแบบเทศาภิบาล คือ รวมหัวเมืองหลายเมืองเข้าด้วยกันเป็นมณฑลๆ หนึ่ง โดยมีข้าหลวงเทศาภิบาล เป็นผู้ปกครองมณฑล ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลนี้เป็นการรวมอำนาจการปกครองทั้งด้านการเมือง และเศรษฐกิจเข้าสู่ส่วนกลาง ทำให้การปกครองหัวเมืองเป็นแบบเดียวกันและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้มีการแบ่งเขตการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็นเมือง(จังหวัด) อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ตามลำดับ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">แต่เนื่องจากระยะนี้บรรดาประเทศมหาอำนาจต่างกำลังแสวงหาอาณานิคม ประเทศไทยก็ถูกฝรั่งเศสคุกคามอย่างหนัก จนทำให้การพัฒนาประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5 ดำเนินไปไม่ดีเท่าที่ควรและเกิดความล่าช้า เนื่องจากพื้นฐานทางด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของไทยขัดต่อการพัฒนาประเทศตามแบบแผนใหม่ หรือตามแบบประเทศตะวันตก</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span class="Apple-style-span" style="color:#cc33cc;">2. การวางฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย</span> ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ไทยได้เริ่มมีการวางราฐานการปกคารองระบอบประชาธิปไตย มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 โดยใช้แบบแผนการปกครองตามอย่างสมัยรัชกาลที่ 5 แล้วนำมาปรับปรุงใหม่ คือ ในส่วนกลาง ตั้งกระทรวงทหารเรือ กระทรวงพาณิชย์ ในส่วนภูมิภาค รวมมณฑลต่างๆ เข้าเป็นภาค มีอุปราชและ สมุหเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครอง กรุงเทพฯ ก็นับเป็นมณฑลหนึ่งมีสมุหพระนครปกครองให้เรียกเมืองต่างๆว่า จังหวัด และ พ.ศ.2461 ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองจำลองขึ้นในบริเวณพระราชวังดุสิต ชื่อว่า “ดุสิตธานี” และจัดการปกครองเป็นแบบเทศบาล แบ่งเขตการปกครองออกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ตามกฎหมายลักษณะการปกครองท้องที่ มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครอง เรียกว่า “ธรรมนูญลักษณะการปกครองคณะนคราภิบาล (ดุสิตธานี) พุทธศักราช 2461” รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทำการทดลองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยให้ข้าราชการบริพารได้เข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการปกครองในระบอบนี้ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นโดยผ่านทางหนังสือและอออกพระราชาบัญญัติประถมศึกษาอีกด้วย</span></span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#cc33cc;">3. การปฏิรูประบบกฎหมายและการศาล</span> สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นระยะเวลาที่ชาวยุโรปเริ่มแสวงหาอาณานิคมและแผ่อิทธิพลเข้ามาในเมืองไทย พระองค์จึงได้ทรงตรากฎหมายและประกาศต่างๆ ขึ้นใช้บังคับมากมาย เพื่อให้ทันสมัยเหมาะสมกับสภาพบ้านเมืองในขณะนั้น เช่น พระราชบัญญัติมรดกสินเดิมและสินสมรส ใน พ.ศ. 2394 พระราชบัญญัติพระสงฆ์สามเณร และศิษย์วัด พ.ศ. 2402</span></span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ในการติดต่อกับต่างประเทศ ทำให้ไทยเสีย “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” โดยต่างชาติอ้างว่ากฎหมายไทยป่าเถื่อนและรังเกียจวิธีการพิจารณาคดีแบบจารีตนครบาล (คือวิธีการไต่สวนคดีของตุลาการอย่างทารุณ เช่น การตอกเล็บ บีบขมับ รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯยกเลิก เมื่อ พ.ศ.2439) จึงไม่ยอมให้ใช้บังคับคนต่างชาติหรือคนในบังคับบัญชา ทำให้ไทยต้องทำการปฏิรูปกฎหมายในสมัยรัชกาลที่ 5</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">การปฏิรูปกฎหมายไทย การปฏิรูปกฎหมายไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มเมื่อ พ.ศ.2440 โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชุรีดิเรกฤทธิ์ พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเจ้าจอมมารดาตลับ ได้ทรงศึกษาวิชากฎหมายจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมและได้รับยกย่องว่าเป็น “พระบิดาแห่งกฎหมายและการศาลไทย” ทรงตั้งโรงเรียนสอนวิชากฎหมายขึ้น โดยดำเนินการสอนเอง โรงเรียนกฎหมายแห่งนี้ต่อมาได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจชำระและร่างกฎหมาย ได้แก่ กฎหมายลักษณะอาญา ประกาศใช้ใน พ.ศ.2451 จัดเป็นกฎหมายฉบับใหม่และทันสมัยที่สุดฉบับแรกของไทย ต่อมาได้ประกาศใช้กฎหมายอีกหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ.116 พระราชบัญญัติสิทธิ์ผู้แต่งหนังสือ ร.ศ.120 กฎหมายว่าด้วยการเลิกทาส พ.ศ2448 ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีการปฏิรูปภาษากฎหมายไทยให้รัดกุม ชัดเจนและเหมาะสมยิ่งขึ้น</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">สมัยรัชกาลที่ 6 ได้โปรดเกล้าฯให้ดำเนินงานร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อจากที่ทำไว้ในสมัยรัชกาลที่ 5 และ พ.ศ.2466 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมร่างกฎหมายขึ้น</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">การศาล ในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้ตั้งกระทรวงยุติธรรมใน พ.ศ.2434 เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ตุลาการขาดความยุติธรรม ทุจริตตัดสินคดีความล่าช้า เป็นต้น โดยแยกตุลาการออกจากฝ่ายธุรการ และรวมศาลที่กระจายอยู่ตามกระทรวงต่างๆ มาไว้ที่กระทรวงยุติธรรมเพียงแห่งเดียว และใน พ.ศ.2435 ได้มีการเปลี่ยนแปลงงานด้านการศาล คือ รวมศาลอุทธรณ์คดีราษฎร์ ตั้งศาลราชทัณฑ์พิเฉทขึ้น ยกเลิกกรมรับฟ้องโดยตั้งจ่าศาลเป็นพนักงานรับฟ้องประจำศาลต่างๆ ต่อมารวมศาลราชทัณฑ์พิเฉทกับศาลอาญา รวมศาลแพ่งเกษมกับศาลแพ่งไกรศรีเป็นศาลแพ่ง ใน พ.ศ.2441 จัดแบ่งศาลออกเป็น 3 แผนก ได้แก่ ศาลฎีกา ศาลกรุงเทพฯ และศาลหัวเมือง</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ความสำเร็จในการปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลของไทยนั้น นอกจากจะเป็นผลงานของพระบรมวงศานุ วงศ์และข้าราชการไทยที่มีความรู้ความสามารถ เช่นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัฒนวิศิษฐ์ เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม องค์แรก และขุนหลวงพระยาไกรสี ผู้พิพากษาไทยคนแรกที่เรียนวิชากฎหมายสำเร็จได้เป็นเนติบัณฑิตอังกฤษแล้ว ไทยยังได้จ้างนักกฎหมายชาวต่างประเทศที่มีความรู้มาเป็นที่ปรึกษากฎหมายอีกด้วย บุคคลสำคัญ ได้แก่ นายโรลัง ยัคมินส์ ขาวเบลเยี่ยม นายโตกิจิ มาซาโอะ ชาวญี่ปุ่น นายวิลเลียม อัลเฟรด ติลเลเก ชาวลังกา และนายยอร์ช ปาดู ชาวฝรั่งเศส</span></div></span></span><p><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><span class="Apple-style-span" style="LINE-HEIGHT: normal"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span"></span></span></span><span class="Apple-style-span" style="LINE-HEIGHT: normal;font-family:times new roman;font-size:130%;" ><p align="left"></p></span><span class="Apple-style-span" style="LINE-HEIGHT: normal"><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span"></span></span><p dir="ltr" align="justify"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#3333ff;">2. ด้านเศรษฐกิจ</span></span></div><span class="Apple-style-span"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ในสมัยรัชกาลที่ 4 ไทยได้ทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีการค้ากับอังกฤษ เมื่อ พ.ศ.2398 เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “สนธิสัญญาเบาว์ริง” หลังจากทำสนธิสัญญาเบาว์ริงแล้วได้มีชาติอื่นๆ เข้ามาขอเจราจาทำสนธิสัญญาตามแบบอย่างอังกฤษอีกหลายชาติ เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส โปรตุเกส เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น เมื่อมีชาวต่างประเทศเดินทางมาค้าขายมากขึ้น สินค้าแปลกๆใหม่ๆ และวิทยาการต่างๆ ก็แพร่หลายสู่ประชาชนทั่วไป ทำให้มีการพัฒนาบ้านเมือง เพื่อให้ทันสมัยทัดเทียมกับต่างประเทศ เช่น มีการตัดถนนสายต่างๆ ได้แก่ ถนนเจริญกรุง หรือถนนใหม่ บำรุงเมือง เฟื่องนคร สีลม และมีการขุดคลองผดุงกรุงเกษม คลองดำเนินสะดวก ฯลฯ</span></div><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ตามข้อความในสนธิสัญญาเบาว์ริงกำหนดให้ไทยเรียกเก็บภาษีขาเข้าไม่เกินร้อยละ 3 เท่านั้น แต่เนื่องจากมีเรือเข้ามาค้าขายมากกว่าแต่ก่อนถึงปีละ 103 ลำ ทำให้ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าทุกปี แต่การจัดเก็บภาษีในสมัยนี้ไม่รัดกุมพอ เมื่อมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้นใน พ.ศ.2416 เพื่อรวบรวมภาษีอากรทุกชนิดจากทุกหน่วยงาน และได้ตรมพระราชบัญญัติเกี่ยวกับภาษีอากรหลายฉบับ กำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่แบ่งงานในแต่ละกระทรวง กำหนดอัตราภาษีอากรที่แน่นอน ทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มมากขึ้นอีกมากมาย</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">เงินตรา ในสมัยรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงกษาปณ์ขึ้นใน พ.ศ.2403 ได้เปลี่ยนจากการใช้เงิน พดด้วงเป็นเงินเหรียญ </span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนมาตราเงินไทยมาใช้ระบบทศนิยมกำหนดให้ 1 บาท มี 100 สตางค์ สร้างเหรียญสตางค์ทำด้วยทองขาว และเหรียญทองแดง และได้โปรดเกล้าฯ ได้พิมพ์ธนบัตรขึ้นใช้อย่างจริงจัง โดยตราพระราชบัญญัติธนบัตร ร.ศ.121 (พ.ศ.2445)และตั้งกรมธนบัตรขึ้น สังกัดกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ นอกจากนี้ยังประกาศใช้พระราชบัญญัติมาตราทองคำ ร.ศ.127 (พ.ศ.2451) โดยใช้ทองคำเป็นมาตรฐานเงินตราแทนเงิน และในปีเดียวกันได้ประกาศยกเลิกการใช้เงินพดด้วง เหรียญ เฟื้อง เบี้ยทองแดงต่างๆ เบี้ยสตางค์ทองขาว โดยให้ใช้เหรียญบาท สลึง และเหรียญสตางค์อย่างไหมแทน</span></div></span></span><span class="Apple-style-span"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;">การธนาคารและคลังออมสิน </span></div></span><span class="Apple-style-span"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;">สมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการจัดตั้งธนาคารขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ.2431 ดำเนินการโดยชาวต่างประเทศ ต่อมาใน พ.ศ.2449 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย (พระองค์เจ้าไชยันตมงคล) ได้เป็นผู้ก่อตั้งธนาคารแห่งแรกที่ดำเนินการโดยคนไทย ชื่อว่า “บุคคลัภย์” (Book Club) ต่อมาได้รับพระบรมราชานุญาตให้จดทะเบียนตั้งเป็นธนาคารได้ถูกต้องตามกฎหมาย ใช้ชื่อว่า “บริษัทแบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด (Siam Commercial Co,) ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด”</span></div><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;"><div style="TEXT-ALIGN: left">คลังออมสินจัดตั้งในสมัยรัชกาลที่ 6 ใน พ.ศ.2458 ตามพระราชบัญญัติออมสิน และได้วิวัฒนาการเป็นธนาคารออมสิน</div></span></span><p><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p></span><span class="Apple-style-span" style="LINE-HEIGHT: normal;font-size:medium;" ><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span"></span></span><p align="justify"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#3333ff;">3. สภาพสังคมและการศึกษา</span></span></div><span class="Apple-style-span"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;">การเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงดำริว่า การที่ประเทศไทยมีชนชั้นทาสมากเท่ากับเป็นการเสียเศรษฐกิจของชาติ และทำให้ต่างชาติดูถูกและเห็นว่าประเทศไทยป่าเถื่อนด้อยความเจริญ ซึ่งมีผลทำให้ประเทศมหาอำนาจต่างๆ คิดจะเข้าครอบครองไทย โดยอ้างว่า เพื่อช่วยพัฒนาประเทศไทยให้ทัดเทียมประเทศอื่นๆ ที่เจริญแล้วทั้งหลาย</span></div><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ดังนั้น ใน พ.ศ.2417 พระองค์จึงทรงเริ่มออกพระราชบัญญัติพิกัดกระเษียรอายุลูกทาสลูกไทขึ้น โดยกำหนดค่าตัวทาสอายุ 7-8 ปี มีค่าตัวสูงสุด 12-14 ตำลึง แล้วลดลงเรื่อยๆ เมื่อมีอายุ 21 ปี ค่าตัวจะเหลือเพียง 3 บาท ซึ่งทำให้ทาสมีโอกาสไถ่ตัวเป็นไทได้มากและใน พ.ศ.2420 พระองค์ทรงบริจาคเงินจำนวนหนึ่งเพื่อไถ่ตัวทาสที่อยู่กับเจ้านายมาครบ 25 ปี จำนวน 45 คน พ.ศ.2443 ทรงออกกฎหมายให้ทาสสินไถ่อายุครบ 60 ปี พ้นจากการเป็นทาสและห้ามขายตัวเป็นทาสอีก พ.ศ.2448 ออกพระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124 บังคับทั่วประเทศ ห้ามมีการซื้อทาสต่อไป ให้ลดค่าตัวลงเดือนละ 4 บาท จนครบจำนวนเงิน และให้บรรดาทาสเป็นไททั้งหมด</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">การเลิกทาสของพระองค์ประสบความสำเร็จอย่างดี เป็นเพราะพระปรีชาญาณและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ทรงใช้ทางสายกลาง ค่อยๆดำเนินงานไปทีละขั้นตอน ทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงดังเช่นประเทศต่างๆ ที่เคยประสบมา</span></div></span></span><span class="Apple-style-span"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;">การศึกษา</span></div></span><span class="Apple-style-span"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ผู้มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาสมัยใหม่ในระยะแรกของไทย คือ คณะมิชชันนารีอเมริกัน ซึ่งเข้ามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 แหม่มแมตตูน ภรรยามิชชันนารีอเมริกัน ได้ตั้งโรงเรียนขึ้นเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ.2395 ต่อมาได้รวมกับโรงเรียนของซินแส กีเอ็ง ก๊วยเซียน ซึ่งเป็นชาวจีนที่นับถือนิกายโปรเตสแตนส์ โรงเรียนนี้รับนักเรียนชายล้วน มีครูใหญ่เป็นคนไทย และสอนด้วยภาษาไทยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้ายาที่ตำบลสำเหร่ ชื่อว่า โรงเรียนสำเหร่บอยคริสเตียนไฮสกูล ต่อมาย้ายมาอยู่ที่ตำบลสีลม เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย” นับเป็นโรงเรียนราษฎร์แห่งแรกของไทย</span></div><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ส่วนโรงเรียนสตรีแห่งแรกในประเทศไทย คือ โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง ตั้งอยู่ในบริเวณโรงพยาบาลศิริราช ตั้งโดยแหม่มเฮาส์ ใน พ.ศ.2417 ในต่างจังหวัด พวกมิชชันนารีได้ตั้งโรงเรียนขึ้นหลายแห่ง เช่น โรงเรียนปริ๊นส์รอแยลวิทยาลัย และดาราวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ โรงเรียนผดุงราษฎร์ จังหวัดพิษณุโลก โรงเรียนอรุณประดิษฐ์ จังหวัดเพชรบุรี</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></div></span></span><span class="Apple-style-span"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#3333ff;">การปฏิรูปการศึกษาสมัยรัชกาลที่ 5</span></div></span><span class="Apple-style-span"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;">สาเหตุที่ทำให้เกิดการปฏิรูปการศึกษา คือ พระองค์ต้องการสร้างคนที่มีความรู้เพื่อเข้ารับราชการช่วยบริหารประเทศให้พัฒนามากขึ้น โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนหลวงแห่งแรกคือ โรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2414 ทรงพระราชทานเสื้อผ้า อาหารกลางวันทุกวัน ครูก็ได้ค่าจ้าง ต่อมาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระตำหนักเดิมที่สวนกุหลาบ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของพระบรมมหาราชวัง ให้ชื่อว่า โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ โดยมีพระยาสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) หรือหลวงสารประเสริฐเป็นอาจารย์ใหญ่ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษในวัง มีฟรานซิส ยี แปตเตอร์สัน เป็นครู</span></div><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">อีกสาเหตุหนึ่งเนื่องมาจากการปลดปล่อยทาสให้เป็นไท พระองค์ทรงห่วงใยมาก เพื่อที่จะไม่ให้กลับมาเป็นทาสอีก จึงเป็นต้องให้คนเหล่านั้นได้รับการศึกษา เพื่อให้มีวิชาความรู้นำไปประกอบอาชีพได้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนสำหรับราษฎรขึ้น ชื่อ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม ใน พ.ศ.2427</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">แบบเรียนที่ใช้ในโรงเรียนขณะนั้นมีทั้งหมด 6 เล่ม ซึ่งเรียบเรียงโดยพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ได้แก่ มูลบทบรรพกิจ วาหนิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์และพิศาลกานต์ ต่อมาได้จัดตั้งกรมศึกษาธิการขึ้น เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2430 ภายหลังยกฐานะเป็นกระทรวงธรรมการ มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการศึกษา (สมัยรัชกาลที่ 6 เปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงศึกษาธิการ) และให้ใช้หนังสือแบบเรียนเร็วของกรมหมื่นดำรงราชานุภาพแทนแบบเรียนทั้ง 6 เล่ม ต่อได้มีการประกาศใช้โครงการศึกษาชาติ อยู่ในความดูแลของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (ม.ร.ว.เปีย มาลากุล) ตามแบบแผนของอังกฤษ และโปรดเกล้าฯ ให้มีการสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงขึ้น เรียกว่า “คิงสกอลาชิป” ตั้งแต่ พ.ศ.2440 เป็นประจำทุกๆ ปี ปีละ 2 คน ส่งไปศึกษายังทวีปยุโรปหรืออเมริกา</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">การศึกษาแบบแผนใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการแบ่งการศึกษาออกเป็นสามัญศึกษาเกี่ยวกับการศึกษาทั่วไปและวิสามัญศึกษาเกี่ยวกับวิชาชีพโดยเฉพาะ โดยขยายไปทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และโปรดเกล้าฯ ให้จัดระเบียบการศึกษาในโรงเรียนมหาดเล็กตามแบบอังกฤษแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียน “วชิราวุธวิทยาลัย”</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">พ.ศ.2464 ได้ตราพระราชบัญญัติประถมศึกษาขึ้นใช้ กำหนดให้เด็กชาย-หญิงทั่วพระราชอาณาจักรที่มีอายุตั้งแต่ 7-14 ปี เข้าเรียนในโรงเรียนโดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน ทุกคนต้องจบชั้น ป.4 เมื่ออายุ 15 ปี ถ้าผู้ปกครองคนใดฝ่าฝืนจะมีโทษ (ครั้นถึง พ.ศ.2503 จึงได้มีขยายการศึกษาภาคบังคับออกเป็น 7 ปี และ 12 ปีในปัจจุบัน) สำหรับการศึกษาประชาบาลในแต่ละท้องถิ่น กำหนดได้โดยอาศัยทุนทรัพย์ของคนในท้องถิ่น ซึ่งเรียกว่า “เงินศึกษาพลี” และคนในท้องถิ่นเป็นผู้ตั้งโรงเรียนขึ้นเอง แต่อยู่ในการควบคุมดูแลของรัฐบาล</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">การตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รัชกาลที่ 6 ทรงยกฐานะโรงเรียนข้าราชการพลเรือนหรือโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเดิม ให้เป็นสถาบันอุดมศึกษา ให้ชื่อว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย ใน พ.ศ.2459 เพื่อจะได้ผลิตผู้มีความรู้ความสามารถสูงสำหรับเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศ โดยไม่ต้องจ้างชาวต่างประเทศด้วยค่าจ้างแพง บางคนทำงานไม่ค่อยได้ผล เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ สภาพแวดล้อมและปัญหาที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่</span></div></span></span><p><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><p align="left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span"></span></span><p align="justify"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#3333ff;">4. การศาสนาและขนบธรรมเนียมประเพณี</span></span></span></div><span class="Apple-style-span"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;">การศาสนา รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดต่างๆ ได้แก่ วัดมกุฏกษัตริยาราม วัดโสมนัสวิหาร วัดปทุมวนาราม และวัดราชประดิษฐ์</span></div><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">รัชกาลที่ 5 ทรงตั้งสถานศึกษาสำหรับสงฆ์ คือ มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย หรือมหาธาตุวิทยาลัยเป็นสถานศึกษาฝ่ายมหานิกาย และมหามกุฏราชวิทยาลัย ตั้งขึ้นใน พ.ศ.2436 เป็นสถานศึกษาฝ่ายธรรมยุติกนิกาย สำหรับวัดที่ทรงสร้างในสมัยนี้ ได้แก่ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นต้น</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ขนบธรรมเนียมประเพณี การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงประเพณี วัฒนธรรมของชาติให้เป็นแบบอารยประเทศ ได้เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับกาลเวลาและเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ราษฎรในเวลาเดียวกันด้วย เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มที่ราชสำนักก่อน แล้วจึงขยายไปสู่ระดับประชาชน แต่ผลกระทบของการรับประเพณีวัฒนธรรมแบบตะวันตกบางอย่างก็เห็นชัดเฉพาะในเมืองหลวงเท่านั้น เพราะประชาชนส่วนใหญ่ตามหัวเมือง และในชนบทยังคงยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิม</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">นับแต่ต้นรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนแปลงประเพณีเดิมเป็นแบบตะวันตกหลายประการ คือ มีประกาศให้ข้าราชการสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้า ให้ชาวตะวันตกที่อยู่ในกรุงเทพฯ เข้าเฝ้าขณะเสด็จออกมหาสมาคมพร้อมกับข้าราชการไทยเป็นครั้งแรก ให้ชาวต่างประเทศถวายคำนับและนั่งเก้าอี้เวลาเข้าเฝ้าได้ ให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการนับถือศาสนาและการประกอบอาชีพ ในด้านสิทธิเสรีภาพของสตรีรัชกาลที่ 4 ทรงพยายามยกฐานะของสตรีให้ดีขึ้น สำหรับข้าราชการฝ่ายในที่ไม่สมัครใจจะอยู่ในวังต่อไป ก็ทรงอนุญาตให้ลาออกจากราชการได้ ทรงริเริ่มให้สตรีในราชสำนักได้มีโอกาสเล่าเรียนวิชาภาษาอังกฤษจากสตรีในคณะมิชชันนารีอเมริกัน นับเป็นการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดทางการศึกษาของสตรีอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นอกจากนี้ยังทรงเริ่มใช้ชาวต่างประเทศเป็นข้าราชการในหน่วยงานต่างๆ เพื่อปรับปรุงประเทศเป็นแบบตะวันตกด้วย</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ประเพณี วัฒนธรรมของไทยได้มีการแก้ไขปรับปรุงครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเสด็จประพาสต่างประเทศทั้งในเอเชียและยุโรป คือให้ผู้ชายไทยในราชสำนักเลิกไว้ผมทรงมหาดไทยเปลี่ยนเป็นไว้ผมยาวทั้งศีรษะอย่างฝรั่ง ส่วนผู้หญิงให้เลิกไว้ผมปีก ให้ไว้ผมตัดยาวทรงดอกกระทุ่ม ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้ช่างออกแบบตัดแปลงจากเสื้อนอกของฝรั่งเรียกว่า “เสื้อราชประแตน” และสวมหมวกอย่างยุโรป ให้ข้าราชการทหารแต่งเครื่องแบบ นุ่งกางเกงอย่างทหารยุโรป แทนการนุ่งโจงกระเบนแบบเก่า</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">รัชกาลที่ 5 ทรงแก้ไขประเพณีการสืบราชสันตติวงศ์ ยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลใน พ.ศ.2429 โปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งตำแหน่ง “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร” ตาแบบประเทศตะวันตก ที่เรียกองค์รัชทายาทว่า “Crown Prince”</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">รัชกาลที่ 5 ทรงยกเลิกประเพณีวัฒนธรรมที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน ที่สำคัญคือ เลิกประเพณีหมอบคลานเข้าเฝ้าและให้ยืนเข้าเฝ้าแทน ยกเลิกการโกนผมเมื่อพระมหากษัตริย์สวรรคต คงให้มีการไว้ทุกข์เพียงอย่างเดียว เปลี่ยนวิธีการไต่สวนของตุลาการแบบเก่า ยกเลิกจารีตนครบาล เพราะเป็นวิธีลงโทษที่ชาวตะวันตกรังเกียจทารุณไร้อารยธรรม พระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ของรัชกาลที่ 5 ในการเปลี่ยนแปลงประเพณีและวัฒนธรรมของไทยให้เป็นไปตามคตินิยมตะวันตก คือ การเลิกทาสและเลิกระบบไพร่ อันเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแก่ประชาราษฎรโดยตรง</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ในสมัยรัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้ พระราชบัญญัตินามสกุล พ.ศ.2455 ให้ใช้พุทธศักราช (พ.ศ.) เป็นศักราชทางราชการ พ.ศ.2456 แทนการใช้รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) เพราะเป็นศักราชทางศาสนาที่ชาวไทยนับถือพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับประเทศตะวันตกที่ใช้ศักราชของศาสนาที่ชนส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศักราช (ค.ศ.) และเปลี่ยนแปลงการนับเวลาทางราชการเสียใหม่ให้สอดคล้องกับสากลนิยม โดยถือเวลาหลังเที่ยงคืนเป็นเวลาเปลี่ยนวันใหม่ กำหนดคำนำหน้าสตรีที่ยังเป็นโสดว่า “นางสาง” ผู้ที่มีสามีแล้ว ใช้คำว่า “นาง” และกำหนดคำนำหน้านามเด็กว่า “เด็กชาย” และ “เด็กหญิง” ขึ้นด้วย</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">นอกจากนี้เมื่อไทยส่งกองทหารอาสาไปสมทบกับกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรในยุโรป พ.ศ. 2460 รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯให้ประดิษฐ์ธงชาติขึ้นใหม่ใช้ 3 สี คือ สีน้ำเงิน สีขาว และสีแดง ตามแบบสีธงชาติของอารยประเทศส่วนใหญ่ใช้กันอยู่ และพระราทานนามธงชาติแบบสามสีห้าริ้วที่ประกาศใช้ขึ้นใหม่ว่า “ธงไตรรงค์” ซึ่งยังคงใช้เป็นประจำชาติมาจนทุกวันนี้</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">พ.ศ.2461 โปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ตามแบบประเทศยุโรปที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข วางลำดับผู้ที่จะทรงได้ราชสมบัติไว้โดยละเอียด</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ในด้านการแต่งกาย การเปลี่ยนแปลงการแต่งกายแบบตะวันตก ส่วนใหญ่เป็นไปเฉพาะราชสำนักและในหมู่ข้าราชการชั้นสูงเท่านั้น ในสมัยรัชกาลที่ 7 สตรีไทยหันไปแต่งกายแบบตะวันตกมากขึ้น นิยมนุ่งซิ่นแค่เข่า สวมเสื้อทรงกระบอกตัวยาวแขนสั้น ไว้ผมบ๊อบ ส่วนการแต่งกายของชายที่เป็นข้าราชการพลเรือนยังคงนุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงิน สวมเสื้อราชปะแตน รองเท้า สวมหมวกสักหลาดมีปีก หรือหมวกกะโล่</span></div></span></span><p><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><p align="left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span"></span></span><p align="left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#3333ff;">5. วรรณกรรรมและศิลปกรรรม</span></span></div><span class="Apple-style-span"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#009900;">1. วรรณกรรม</span></div><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1.1 สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นทั้งกวี มีความสามารถในด้านศาสนา โบราณคดี โหราศาสตร์ และภาษาอังกฤษ กวีและวรรณกรรมที่สำคัญในสมัยรัชกาลที่ 4 มีดังนี้</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอนพระรามเดินดง ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ประกาศและพระบรมราชาธิบายต่างๆ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2) หม่อมราโชทัย ได้แก่ จดหมายเหตุของหม่อมราโชทัย นิราลอนลอน</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1.2 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยนี้มีการปรับปรุงบ้านเมืองหลายอย่างที่ช่วยสนับสนุนให้งานวรรณกรรมก้าวหน้า คือ การตั้งโรงเรียน การพิมพ์หนังสือ การตั้งหอสมุดแห่งชาติและเกิดโบราณคดีสโมสรที่ช่วยส่งเสริมงานด้านการประพันธ์ การศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดี ประกอบกับได้รับอารยธรรมตะวันตกเผยแพร่เข้ามาอีกด้วย</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;">กวีและวรรณกรรมที่สำคัญในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือน ไกลบ้าน พระราชวิจารณ์ทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี ลิลิตนิทราชาคริต บทละครเรื่องเงาะป่า กวีนิพนธ์เบ็ดเตล็ด</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2) พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ได้แก่ แบบเรียนภาษาไทย 6 เล่ม</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1.3 สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นระยะที่วรรณกรรมได้รับอิทธิพลของตะวันตกมากที่สุด วรรณกรรมทั้งร้อยแก้วและร้องกรองเจริญถึงขีดสุด ทรงพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์และพระราชทานเสรีภาพในการประพันธ์อย่างกว้างขวาง และยังทรงตั้งวรรณคดีสโมสรขึ้น เพื่อส่งเสริมการแต่งหนังสือไทยให้ดีขึ้น</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;">กวีและวรรณกรรมที่สำคัญในสมัยรัชกาลที่ 6 มีดังนี้</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว วรรณกรรมที่ทรงพระราชนิพนธ์ ได้แก่</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ประวัติศาสตร์และโบราณคดี เช่น เที่ยวเมืองพระร่วง สงครามสืบราชสมบัติโปแลนด์ เที่ยวเมืองไอยคุปต์ นารายณ์สิบปาง ตำนานชาติฮั่น </span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">บทละคร มีอยู่หลายเรื่อง เช่น หัวใจนักรบ มัทนะพาธา พระร่วง วิวาห์ พระสมุทร ความเสียสละ เวนิสวานิช ตามใจท่าน เห็นแก่ลูก ท้าวแสนปม ศกุนตลา ฯลฯ </span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ปาฐกถาและบทความ เช่น เทศนาเสือป่า ปลุกใจเสือป่า ยิวแห่งบูรพาทิศ โคลนติดล้อ </span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ร้อยกรอง เช่น พระนลคำหลวง ลิลิตพายัพ นิราศพระมะเหลเถไถ กาพย์เห่เรือ มงคลสูตรคำฉันท์</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">สารคดี เช่น บ่อเกิดรายเกียรติ์</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชนุภาพ ทรงนิพนธ์หลายเรื่อง เช่น ไทยรับพม่า นิราศนครวัด เที่ยวเมืองพม่า นิทานโบราณคดี เสด็จประพาสต้น จดหมายเหตุ เป็นต้น</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">3) กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เรื่องเด่นๆ ที่นิพนธ์ เช่น จดหมายจางวางหร่ำ ตลาดเงินตรา นิทานเวตาล พระนางฮองไทเฮา กนกนคร พระนลคำฉันท์ เป็นต้น</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">4) พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนชีวะ) ได้แก่ ตำราไวยากรณ์ อักขรวิธี วจีวิภาค วายกสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ สงครามภารตะคำกลอน รำพึงในป่าช้า</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">หลังรัชกาลที่ 6 วรรณประเภทร้อยแก้วเจริญขึ้นมาก เช่น นวนิกาย เรื่องสั้น บทความและสารคดี ซึ่งได้รับอิทธิพลจากยุโรป มีการแปลวรรณคดีและเรียบเรียงวรรณคดีของต่างประเทศหลายเรื่อง เช่น สาวเครือฟ้า ละครเรื่องเจ้าหญิงแสนหวี ของหลวงวิจิตรวาทการ สี่แผ่นดินของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นต้น</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#009900;">2. ศิลปกรรม</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.1 สมัยรัชกาลที่ 4</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1) ด้านสถาปัตยกรรม เริ่มนิยมตามแบบตะวันตก เช่น พระราชวังสราญรมย์ สถาปัตยกรรมแบบไทย เช่น ปราสาทพระเทพบิดร เจดีย์สำคัญ เช่น พระปฐมเจดีย์ พระมหาเจดีย์ในวัดพระเชตุพนฯ พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) พระสมุทรเจดีย์ เป็นต้น</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2) ด้านจิตรกรรม เช่น ภาพเขียนฝาผนังในพระอุโบสถและวิหารวัดบวรนิเวศวิหาร ภาพเหมือนพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฝีมือขรัวอินโข่ง</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.2 สมัยรัชกาลที่ 5</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1) ด้านสถาปัตยกรรม ได้รับอิทธิพลของตะวันตกมากขึ้น เช่น พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระที่นั่งอนันตสมาคม พระรามราชนิเวศน์ จังหวัดเพชรบุรี ศาลว่าการกระทรวงกลาโหม วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">สถาปัตยกรรมแบบไทย เช่น วัดเบญจมบพิตรฯ วัดราชบพิตร วัดเทพศิรินทราวาส พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ พระราชวังบางประอิน อำเภอบางประอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2) ด้านประติมากรรม เช่น พระพุทธชิราชจำลอง พระสัมพุทธพรรณี พระบรมรูป เช่น พระบรมรูปหล่อพระมหากษัตริย์ 4 รัชกาล ในปราสาทพระเทพบิดร พระบรมรูปทรงม้า</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">3) ด้านนาฏกรรม เกิดละครแบบใหม่ เช่น ละครพันทาง ละครดึกดำบรรพ์ ละครร้อง ละครพูด</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">4) ด้านจิตรกรรม เช่น ภาพเขียนเรื่องมหาเวสสันดรชาดก ในอุโบสถวัดราชาธิวาส</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.3 สมัยรัชกาลที่ 6</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1) ด้านสถาปัตยกรรมสร้างตามแบบไทย เช่น หอประชุมโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ตึกคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อนุสาวรีย์ทหารอาสา</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก เช่น พระราชวังสนามจันทร์ พระราชวังพญาไท (ปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า)</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2) ด้านจิตรกรรม เช่น ภาพเขียนผนังวิหารทิศที่พระปฐมเจดีย์ ภาพเขียนที่ผังพระที่นั่งอนันตสมาคม</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">3) ด้านประติมากรรม เช่น พระแก้วมรกตน้อย พระนิพพาน แม่พระธรณีบีบมวยผม รูปปั้นหล่อด้วยปูนและโลหะ บริเวณพระที่นั่งอนันตสมาคม พระที่นั่งอัมพรสถาน พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">4) ด้านนาฏกรรม ในสมัยนี้ศิลปะด้านโขนและละครและดนตรีเจริญที่สุด มีการตั้งโรงเรียนหลวงสอนด้านนาฏศิลป์ ตั้งคณะละคร สร้างโรงละคร ทรงพระราชนิพนธ์บทละครพูด ฝึกหัดประชาชนทั่วไปให้เล่นโขน มีทั้งโขนสมัครเล่น โขนบรรดาศักดิ์และโขนเชลยศักดิ์</span></div></span></span><p><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><p align="left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span"></span></span><p align="justify"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#3333ff;">6. การต่างประเทศ</span> </span></span></span></span></div><span class="Apple-style-span"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;">นโยบายต่างประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีดังนี้</span></div><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#33cc00;">1. นโยบายต่างประเทศ</span> เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้เริ่มมีสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจตะวันตกอย่างกว้างขวาง มีการวางนโยบายแผนใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและรับสถานการณ์ต่างๆ ของโลกภายนอก ที่มีผลกระทบกระเทือนทั้งโดยตรงและโดยอ้อมต่อประเทศไทย นโยบายต่างประเทศของไทยแต่ละรัชกาลพอจะสรุปได้ ดังนี้</span></span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1.1 นโยบายต่างประเทศสมัยรัชกาลที่ 4 สมัยนี้เป็นสมัยของการเริ่มต้นเปิดประเทศครั้งใหญ่ของไทย รัฐบาลถูกบีบบังคับให้ทำสนธิสัญญาที่ผูกมัดเอารัดเอาเปรียบและไม่ธรรม แต่เพื่อความปลอดภัยและเอกราชของชาติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ใช้นโยบาย “ผ่อนสั้นผ่อนยาว” ขึ้นเป็นพระองค์แรก ซึ่งทำให้ไทยรอพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นและเป็นเอกราช มาจนปัจจุบัน และยังเป็นแนวทางให้รัฐบาลสมัยต่อๆ มาได้ดำเนินนโยบายตามอีกด้วย</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1.2 นโยบายต่างประเทศสมัยรัชกาลที่ 5 ได้สร้างสัมพันธไมตรีอันดีต่อนานาประเทศ โดยเฉพาะประเทศตะวันตก โดยส่งเอกอัครราชทูตไปประจำประเทศต่างๆ เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น และการส่งเอกอัครราชทูตไปประจำยังต่างประเทศนี้ก็ได้ปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน ผลจากการมีสัมพันธไมตรีอันดีต่อนานานประเทศนี้ ทำให้ความตึงเครียดทางด้านการเมืองของไทยกับต่างประเทศดีขึ้นเป็นลำดับ ทำให้ประเทศรอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจบางประเทศ ซึ่งผิดกับประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบที่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจต่างๆ จนหมดสิ้น และยังเป็นแนวทางนำไปสู่การแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#009900;">2. การเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศตะวันตก</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.1 อังกฤษ พ.ศ.2398 สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย พระราชินีนาถของประเทศอังกฤษ ได้แต่งตั้งให้ เซอร์ จอห์น เบาว์ริง เป็นอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็ม อัญเชิญพระราชสาสน์มาขอเจราจาทำสนธิสัญญาทางไมตรีกับไทย ซึ่งไทยก็ให้การต้อนรับอย่างสมเกียรติ </span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">สนธิสัญญาที่ไทยทำกับอังกฤษในครั้งนี้ เรียกว่า “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ทำเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2398 ซึ่งมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1) อังกฤษขอตั้งศาลกงสุลในไทย เพื่อคอยดูแลผลประโยชน์ของคนอังกฤษและคนในบังคับอังกฤษ ถ้าเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนไทย หรือกระทำความผิด ให้คนเหล่านี้ขึ้นศาลกงสุลอังกฤษเท่านั้น</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2) คนอังกฤษมีสิทธิเช่าที่ดินในไทยได้ แต่ถ้าจะซื้อที่ดินต้องอยู่ในเมืองมาแล้ว 10 ปี ขึ้นไป</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">3) อังกฤษมีสิทธิสร้างวัดและเผยแผ่ศาสนาคริสต์ได้อย่างเสรี</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">4) ให้ไทยยกเลิกการเก็บภาษีปากเรือ ให้เก็บแต่เพียงภาษีขาเข้าได้ไม่เกินร้อยละ 3 ส่วนภาษีขาออกให้เสียเพียงครั้งเดียว</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">5) เปิดโอกาสให้พ่อค้าอังกฤษกับราษฎรไทยค้าขายกันอย่างเสรี</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">6) สินค้าต้องห้าม มี 3 อย่าง คือ ข้าว ปลา เกลือ และอังกฤษสามารถนำฝิ่นเข้ามาขายให้แก่เจ้าภาษีโดยไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าเจ้าภาษีไม่ซื้อให้นำกลับออกไป ถ้าลักลอบขายจะถูกริบฝิ่น</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">7) ถ้าไทยทำสนธิสัญญานี้กับชาติอื่น โดยยกประโยชน์ให้ชาตินั้นๆ นอกเหนือจากที่ทำกับอังกฤษในครั้งนี้ ก็ต้องทำให้อังกฤษด้วย</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">8) สนธิสัญญานี้จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขใดๆ ไม่ได้ นอกเหนือจากเวลาล่วงไปแล้ว 10 ปี หลังจากนั้นจะทำการแก้ไขต้องตกลงยินยอมด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย และต้องบอกล่วงหน้า 1 ปี </span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ในการทำสนธิสัญญาครั้งนี้ ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมากมาย เป็นการบีบบังคับโดยที่ไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และไทยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ ข้อเสียเปรียบที่ไทยได้รับ มีดังต่อไปนี้</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1. ทำให้ไทยต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่คนอังกฤษและคนในบังคับอังกฤษ (คนในบังคับอังกฤษ หมายถึง คนอังกฤษ คนในชาติที่เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ และยังหมายถึงคนเอเชียที่มาขอจดทะเบียนเป็นคนในบังคับของอังกฤษโดยที่ประเทศตนไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษก็ตาม)</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2. อังกฤษเป็นชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง ในการมีสิทธิ์พิเศษอื่นๆ นอกเหนือจากสนธิสัญญาที่ไทยทำกับอังกฤษ ถ้าไทยทำการตกลงกับชาติอื่นๆ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">3. สนธิสัญญานี้อังกฤษเป็นฝ่ายได้เปรียบ จึงไม่ยอมทำการแก้ไข</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">แต่สนธิสัญญานี้ก็ยังพอมี ผลดีอยู่บ้าง คือ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1. ทำให้ไทยรอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2. การค้าขายขยายตัวมากขึ้น ทำให้ฐานะของประชาชนดีขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศก็พลอยดีขึ้นตามไปด้วย</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">3. ทำให้อิทธิพลของอารยธรรมตะวันตกแพร่หลายเข้ามาในประเทศไทย และสามารถนำมาปรับปรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้ามากขึ้น</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.2 ประเทศอื่นๆ หลังจากไทยทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษแล้ว ได้มีชาติอื่นๆ เข้ามาเจรจาขอทำสนธิสัญญาตามแบบอย่างอังกฤษหลายชาติ ตามลำดับดังต่อไปนี้</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1) พ.ศ.2399 ประธานาธิบดี แฟรงคลิน เพียส แห่งสหรัฐอเมริกา ส่งนายเทาน์เซนต์ แฮริส เป็นทูตมาขอแก้ไขสัญญากันไทย และในปีเดียวกันนี้เอง พระเจ้านโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศสได้ส่ง นายมองตินยี ราชทูตเข้ามาทำสัญญากับไทย</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2) พ.ศ.2401 ทำสนธิสัญญากับโปรตุเกสและเดนมาร์ก</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">3) พ.ศ.2403 ทำสนธิสัญญากับเนเธอร์แลนด์</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">4) พ.ศ.2404 ทำสนธิสัญญากับปรัสเซีย</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">5) พ.ศ.2411 ทำสนธิสัญญากับนอร์เว สวีเดน เบลเยี่ยม อิตาลี</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">6) พ.ศ. 2412 ทำปฏิญญาว่าด้วยการค้าและการเดินเรือกับรุสเซีย</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">3. การส่งราชทูตไปยุโรป สมัยรัตนโกสินทร์ ใน พ.ศ.2400 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้พระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) และหม่อมราโชทัย อัญเชิญพระราชสาสน์ไปถวายสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียที่ประเทศอังกฤษ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">พ.ศ. 2404 โปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีพิพัฒนราชโกษาธิบดี (แพ บุนนาค) เป็นอัครราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้านโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">พ.ศ. 2410 ทรงแต่งตั้ง เซอร์ จอห์น เบาว์ริง เป็นอัครราชทูตไทยประจำยุโรปคนแรก โดยได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยาสยามานุกูลกิจ สยามมิตรมหายศ เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยในการทำสนธิสัญญากับประเทศต่างๆ เช่น นอร์เว สวีเดน เบลเยียม และอิตาลี</span></div></span></span><p><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span"></span></span><p align="justify"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#3333ff;">7. อิทธิพลของอายธรรมตะวันตกที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของไทยในด้านต่างๆ</span></span></div><span class="Apple-style-span"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1. จากการที่ไทยยอมเปิดประเทศในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยยอมทำสนธิสัญญาทางการทูตและการค้ากับประเทศตะวันตก ทำให้เกิดผลต่อประเทศ คือ</span></div><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1.1 ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากเหตุการณ์ร้ายแรงที่จะเกิดตามมาได้โดยปลอดภัย โดยเฉพาะครั้งที่ เซอร์ จอห์น เบาว์ริง เดินทางเข้ามาขอทำสนธิสัญญากับไทย ถ้าไทยไม่ยอมหรือขัดขืนต่อข้อเรียกร้องของอังกฤษ อังกฤษก็จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด ดังเช่นที่เคยทำกับจีนและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียมาแล้ว</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1.2 จากข้อตกลงที่ทำกันทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนใหญ่ไทยมักเสียเปรียบ ประเทศที่ทำสัญญากับไทยจึงมีความเห็นอกเห็นใจ และยอมผ่อนผันข้อตกลงบางประการให้ไทยบ้าง ทำให้ไทยเสียผลประโยชน์น้อยกว่าที่คิดไว้</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1.3 ไทยสามารถนำเอาอารยธรรมและวิชาการความรู้สมัยใหม่ที่ได้รับจากชาติตะวันตก มาพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น เช่น ด้านการศึกษา ด้านการทหาร ยกเลิกประเพณีเก่าแก่ล้าสมัย ยอมรับความคิดแบบใหม่ ยกเลิกความเชื่อเก่าๆ ที่ไร้เหตุผล ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่เล็งเห็นการณ์ไกล</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1.4 จาการทำสนธิสัญญาทางด้านการค้าขายกับต่างประเทศ และการเปิดประเทศของไทยนี้ ทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนยกระดับสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">แต่สนธิสัญญานี้ไทยก็ถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างมากมาย ไทยถูกผูกมัดและจำกัดอำนาจอธิปไตยหลายอย่าง ข้อเสียเปรียบต่างๆ มีดังนี้</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1) ไทยต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต เมื่อคนต่างชาติหรือคนในบังคับต่างชาติกระทำผิดต้องนำขึ้นศาลกงสุลต่างชาติ ซึ่งทำให้ไทยเสียเปรียบในเรื่องอำนาจทางการศาล และสร้างความเดือดร้อนยุ่งยากในการปกครองเป็นอย่างมาก</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2) ไทยถูกจำกัดการเก็บภาษีขาเข้าได้เพียงร้อยละ 3 ถ้าสินค้านั้นขายไม่ได้ถูกส่งกลับ ไทยต้องคืนค่าภาษีให้ด้วย ทำให้รายได้ของประเทศน้อยลงกว่าเดิม</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">3) สนธิสัญญาที่ทำกับนานาประเทศไม่มีกำหนดเวลา ต้องใช้ตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีวิธีที่จะยกเลิกได้เลย นอกจากขอแก้ไข ซึ่งก็เป็นการลำบากมาก เพราะต้องได้รับการยินยอมจากทั้ง 2 ฝ่าย</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">4) หลังจากไทยทำสนธิสัญญากับต่างประเทศแล้ว ทำให้ต้องเลิกการค้าระบบผูกขาด ทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียประโยชน์ส่วนนี้ไป</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2. สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงริเริ่มแต่งตั้งเอกอัครราชทูตไปประจำยังต่างประเทศเป็นครั้งแรก เอกอัครราชทูตไทยคนแรก คือ พระองค์เจ้าปฤษฏางค์ ประจำที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ต่อมาได้ส่งไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต และญี่ปุ่น ยอกจากนี้ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่ทรงเสด็จประพาสต่างประเทศ ซึ่งการเสด็จประพาสต่างประเทศนี้ก็ได้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติมากมาย คือ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.1 ทำให้ไทยได้รับการถ่ายทอดขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของประเทศตะวันตกมาดัดแปลงและปรับปรุงให้เหมาะสมกับประเทศไทยมากขึ้น เช่น เปลี่ยนการแต่งกายเป็นแบบสากลนิยมไว้ทรงผมแบบฝรั่ง ฯลฯ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.2 ได้ทรงนำเอาแบบฉบับการปกครองที่เหมาะสมมาใช้กับประเทศไทย เช่น การตั้งกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ การศึกษา การทหาร การศาล การสื่อสาร การคมนาคม การสุขาภิบาล ฯลฯ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.3 ทำให้ความตึงเครียดทางด้านการเมืองระหว่างประเทศลดน้อยลง เช่น ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.4 การที่พระองค์ทรงมีสัมพันธ์ส่วนพระองค์กับประมุขของประเทศมหาอำนาจ เช่น เยอรมนี สหภาพโซเวียต ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจอื่นๆ ได้</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.5 สัมพันธไมตรีอันดีที่มีต่อกันระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่างๆ เป็นผลดีที่ทำให้ไทยเรียกร้องขอแก้ไขสัญญา และยกเลิกสิทธิสภาพนอาณาเขตได้ในเวลาต่อมา</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.6 เป็นการประกาศความเป็นเอกราชของไทย และเผยแพร่เกียรติคุณของประเทศให้แก่ประเทศต่างๆ ได้รู้จัก</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.7 เกิดบทพระราชนิพนธ์เนื่องจากการเสด็จประพาสต่างประเทศที่สำคัญ ๆ หลายเรื่อง เช่น ไกลบ้าน พระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ ที่ทรงพระราชทานแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ฯลฯ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ครั้นถึงรัชกาลที่ 6 ทั่วโลกต้องเผชิญกับเหตุการณ์สำคัญ คือ การเกิดวิกฤตการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งไทยก็มีส่วนเข้าร่วมด้วย และในระหว่างสงครามนี้ไทยได้เปลี่ยนธงชาติมาใช้ธงไตรรงค์ แทนธงช้างและใช้สืบต่อมาจนทุกวันนี้</span></div></span></span><p><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span"></span></span><p align="justify"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#3333ff;">8. การเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ในสมัยรัชกาลที่ 6</span> </span></span></span></span></div><span class="Apple-style-span"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;">สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นสงครามครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งและครั้งแรกของโลกที่ทำลายชีวิตมนุษย์ ทรัพย์สิน ทรัพยากรธรรมชาติ และจิตใจของผู้คนไปมากมาย</span></div><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#009900;">1. ประเทศที่เข้าร่วมสงคราม แบ่งออกเป็นสองฝ่าย</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1.1 ฝ่ายพันธมิตรสามเส้า หรือมหาอำนาจกลาง ได้แก่ เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และตุรกี</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1.2 ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต อิตาลี ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาและไทย ในตอนแรกไทยรักษาความเป็นกลางอย่างมั่นคง แต่เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าอยู่หัว ทรงให้ความสนใจและติดตามข่าวการสงครามอย่างใกล้ชิด พระองค์ทรงเล็งเห็นการณ์ไกลในการให้ประเทศไทยประกาศตัวเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธ เพราะถ้าฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะ จะมีผลดีในการที่ประเทศไทยจะเรียกร้องสิทธิต่างๆ เช่น ขอแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมที่ทำไว้กับนานาประเทศ จึงได้ประกาศสงครามกับเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี ในวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 โดยประกาศกระแสพระบรมราชโองการประณามว่า “เยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี เป็นฝ่ายละเมิดเมตตาธรรมของมวลมนุษย์ มิได้มีความนับถือต่อประเทศเล็ก ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นผู้ก่อกวนความสุขของโลก” ซึ่งเหตุการณ์ก็เป็นดังที่พระองค์ทรงคาดไว้ คือ ฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">การตัดสินพระทัยของพระองค์ในครั้งนั้น ปรากฏว่าได้รับการคัดค้านจากประชาชนทั่วไป เนื่องจากในสมัยนั้นมีคนไทยไปศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนีเป็นจำนวนมาก จึงนิยมและเคารพเยอรมนีเป็นเสมือนครูบาอาจารย์ และเยอรมนีไม่เคยสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้คนไทยมาก่อนเลย และในการรบระยะแรก เยอรมนีเป็นฝ่ายได้ชัยชนะมาตลอด ไม่น่าไปได้ว่าเยอรมนีจะเป็นฝ่ายแพ้สงครามในที่สุด ยุทธภูมิในการรบครั้งนี้ก็ไกลมาก ส่วนใหญ่เกิดในทวีปยุโรป ประชาชนโดยทั่วไปมีความเห็นว่า เมืองไทยไม่น่ามีส่วนเกี่ยวพันด้วย ทั้งเมืองไทยก็ยังเป็นประเทศเล็กๆ ควรอยู่อย่างสงบดีกว่า</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">หลังจากที่ไทยประกาศสงครามกับเยอรมนีแล้ว ไทยก็เริ่มทำการจับเชลยที่เป็นชาวเยอรมนีและออสเตรีย เพื่อป้องกันการก่อการไม่สงบ ยึดเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ เรือบรรทุก เรือลำเลียง จับลูกเรือเป็นเชลย และริบทรัพย์เชลยเหล่านี้เสีย ต่อมาไทยได้ส่งกองทหารอาสาเข้าร่วมในสมรภูมิยุโรปด้วย</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">การส่งทหารไปร่วมรบในครั้งนี้มีผู้มาสมัครเป็นทหารอาสามากมาย ไทยได้จัดส่งทหารไปเป็น 2 กอง คือ กองบินทหารบกประมาณ 400 คนเศษ และกองทหารบกรถยนต์ประมาณ 850 คน เดินทางไปถึงเมืองท่ามาร์แชล ประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 ซึ่งนับเป็นหน่วยทหารไทยกองแรกในประวัติศาสตร์ที่ยาตราทัพเป็นระยะทางไกลที่สุดถึงทวีปยุโรป</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">กองทัพไทยถูกส่งประจำการแนวหน้าทันที ทำหน้าที่ลำเลียงกำลังให้แก่กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างเข้มแข็งและกล้าหาญ ทั้งกลางวันและกลางคืนท่ามกลางหิมะ สามารถยึดดินแดนของเยอรมนีทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำไรน์มาได้ ร่วมกับกองทัพของฝ่ายสัมพันธมิตร รัฐบาลฝรั่งเศสจึงได้ให้ตรา “ครัวซ์เดอแกร์” มาประดับธงชัยเฉลิมพล เพื่อเป็นเกียรติแก่กองทหารรถยนต์ไทย กับได้ให้ตรานี้แก่ทหารไทย 2 นายที่ได้ตรวจทางกระสุนปืนของข้าศึกด้วยความกล้าหาญ สำหรับกองบินทหารบกนั้นไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมในสมรภูมิครั้งนี้ เพราะสงครามได้ยุติลงเสียก่อน</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">จากการเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ไทยได้สร้าง “อนุสาวรีย์ทหารอาสา” และ “วงเวียน 22 กรกฎา” ไว้เป็นอนุสรณ์ที่ระลึกไว้ด้วย</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#009900;">2. ผลที่ไทยได้รับจากการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 มีดังนี้</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.1 ทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักของนานาประเทศ โดยเฉพาะประเทศในทวีปยุโรป</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.2 ทำให้ได้รับการยกย่องว่ามีฐานะและสิทธิเท่าเทียมกับอารยประเทศ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.3 ทำให้ไทยมีโอกาสเรียกน้องขอแก้สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมได้สำเร็จ โดยได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งยอมยกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับไทยเป็นประเทศแรก</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.4 จากประสบการณ์ในการสงคราม ทำให้ไทยสามารถนำมาปรับปรุงวิชาการทหารให้เจริญก้าวหน้ามากขึ้น</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.5 ตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.2460 เยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี ได้ยกเลิกสนธิสัญญาที่ทำไว้กับประเทศไทยและอำนาจศาลกงสุล</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.6.ไทยได้ผลประโยชน์จากการยึดทรัพย์สินและห้างร้านของเชลย</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2.7. ไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกผู้ริเริ่มในองค์การสันนิบาตชาติ</span></div></span></span><p><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><p align="left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span"></span></span><p align="justify"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span"><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#3333ff;">9. การเสียดินแดนในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5</span> </span></span></span></span></div><span class="Apple-style-span"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span class="Apple-style-span" style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ในช่วง พ.ศ.2394-2453 การล่าอาณานิคมของประเทศต่างๆ ในยุโรป ได้แผ่อิทธิพลเข้ามาในทวีปเอเชีย ประเทศต่างๆ ในเอเชียจึงต้องตกเป็นอาณานิคมแก่ประเทศในยุโรปหลายประเทศด้วยกัน</span></div><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่ถูกอิทธิพลจากการล่าอาณานิคมครอบคลุมมาถึงจนกระทั่งทำให้ต้องเสียดินแดนบางส่วนไป แต่ก็ยังรักษาเอกราชของชาติไว้ ดินแดนทั้งหมดที่ไทยต้องเสียไป มีดังนี้</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">1. การเสียดินแดนในเขมรหรือเขมรส่วนนอก พ.ศ.2410 (ร.ศ.86) ฝรั่งเศสคิดว่าแม่น้ำโขงที่ไหลผ่านดินแดนของประเทศเขมร สามารถนำฝรั่งเศสเข้าไปสู่แคว้นยูนานของประเทศจีนได้ ซึ่งฝรั่งเศสจะใช้เป็นที่ระบายสินค้าที่สำคัญ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ขณะนั้นเขมรตกเป็นประเทศราชของไทย ฝรั่งเศสกับไทยจึงเกิดเรื่องบาดหมางใจกันขึ้น โดยฝรั่งเศสอ้างว่า ญวนได้ตกเป็นของฝรั่งเศสและดินแดนต่อจากญวนลงไป โดยที่เขมรยินยอมทำสนธิสัญญาลับยอมอยู่ภายใต้อำนาจของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2406 แต่ถึงกระนั้นสมเด็จพระนโรดมแห่งเขมรได้ทรงมีหนังสือรายงานกราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าพระองค์ทรงถูกบีบบังคับให้ลงนาม แต่ยังมีความจงรักภักดีต่อไทยเสมอ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ต่อมาในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ.2410 ไทยจึงจำต้องยอมลงนามในสนธิสัญญากับฝรั่งเศสรับรองอย่างเป็นทางการว่าเขมรเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส โดยไทยจะไม่เรียกร้องให้เขมรส่งเครื่องราชบรรณาการให้แก่ไทยดังแต่ก่อน ส่วนดินแดนพระตะบอง เสียมราฐ (เขมรส่วนใน) ก็ยังอยู่ภายใต้การปกครองของไทยตามเดิม</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">2. การเสียแคว้นสิบสองเจ้าไทย พ.ศ.2431 (ร.ศ. 107) ฝรั่งเศสขอทำสนธิสัญญากับไทย เพื่อตั้งสถานกงสุลที่หลวงพระบาง พ.ศ.2431 โดยให้ นายออกุสต์ ปาวี (Monsieur August Pavie) เป็นกงสุลประจำ ต่อมาพวกฮ่อเข้าปล้นเขตแดนไทยจนถึงหลวงพระบาง ไทยจึงรีบยกทัพไปปราบ ปรากฏว่าสามารถขับไล่พวกฮ่อออกจากเขตแดนไทยได้ทั้งหมด แต่ฝรั่งเศสยังคงยึดแคว้นสิบสองเจ้าไทย และหัวพันทั้งห้าทั้งหกไว้ไม่ยอมยกทัพกลับไป โดยอ้างว่าจะคอยปราบปรามพวกฮ่อ</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">3. การเสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง พ.ศ.2436 (ร.ศ.112) ฝรั่งเศสต้องการให้ลาวหรือฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงตกเป็นเมืองขึ้นของตน จึงใช้ข้ออ้างว่าญวนและเขมรเคยมีอำนาจเหนือลาวมาก่อน เมื่อญวนกับเขมรเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสดินแดนต่างๆ เหล่านี้ก็ควรตกเป็นของฝรั่งเศสด้วยใน พ.ศ.2436 (ร.ศ.112) ฝรั่งเศสจึงส่งกองทัพเรือมาตามลุ่มแม่น้ำโขงและส่งเรือรบ 2 ลำ มาปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา ทหารได้ทำการยิงต่อสู้ไม่สำเร็จ มีคนได้รับบาดเจ็บและเรือเสียหายมาก นายปาวีซึ่งเป็นเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ได้ยื่นคำขาดที่จะปิดน่านน้ำไทย ถ้าไทยไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของฝรั่งเศส และปิดอ่าวไทยทันที่ รัฐบาลไทยจึงต้องปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของฝรั่งเศสทุกประการ เพื่อเอกราชและอธิปไตยของชาติ วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 นี้นับว่าไทยสูญเสียดินแดนครั้งสำคัญและมากที่สุด โดยต้องยอมยกอาณาจักรลาวเกือบทั้งหมดให้กับฝรั่งเศส</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">4. การเสียดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง พ.ศ.2446 (ร.ศ. 122) จากวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ทำให้ฝรั่งเศสยึดดินแดนจันทบุรี ซึ่งนับว่าเป็นเมืองยุทธศาสตร์เมืองหนึ่งของไทย ไว้เป็นประกันถึง 10 ปี ไทยจึงหาทางแลกเปลี่ยนโดยยอมยกเมืองมโนไพรและจำปาศักดิ์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเมืองปากเซ และดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับเมืองหลวงพระบางให้ใน พ.ศ.2448 ฝรั่งเศสจึงยอมถอนทหารออกจันทบุรี แต่กลับไปยึดเมืองตราดไว้แทน</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">5. การเสียดินแดนมณฑลบูรพา พ.ศ.2449 (ร.ศ. 125) ไทยยอมทำสัญญายกมณฑลบูรพา ซึ่งประกอบด้วยเมือง พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ (เขมรส่วนใน) ให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกเปลี่ยนกับจังหวัดตราดและเกาะต่างๆ ที่อยู่ใต้แหลมสิงห์ ลงไปจนถึงเกาะกูดที่ฝรั่งเศสยึดไว้</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">สิ่งสำคัญที่ไทยได้รับจากการลงนามในสัญญานี้ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2449 คือ ฝรั่งเศสย่อมผ่อนผันให้คนในบังคับฝรั่งเศสที่เป็นชาวเอเชีย ซึ่งมาจดทะเบียนภายหลังวันลงนามในสัญญาให้ขึ้นอยู่ในอำนาจของศาลไทย แต่ศาลกงสุลของฝรั่งเศสก็ยังคงมีอำนาจที่จะเรียกคดีจากศาลไทยไปพิจารณาใหม่ได้ จนกว่าไทยจะประกาศใช้ประมวลกฎหมายครบถ้วนแล้ว</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">6. อนุสัญญาลับไทยกทำกับอังกฤษ พ.ศ.2440 วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2440 รัฐบาลได้ลงนามในอนุสัญญาลับร่วมกับอังกฤษ โดยตกลงว่ารัฐบาลไทยจะไม่ยินยอมให้ชาติหนึ่งชาติใด เช่าซื้อหรือถือกรรมสิทธิ์ในดินแดนไทย ตั้งแต่บริเวณใต้ตำบลบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงไป โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลอังกฤษเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนอังกฤษตกลงให้ความคุ้มครองทางทหารแก่ไทยกรณีที่ถูกชาติอื่นรุกราน</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">ผลของอนุสัญญาฉบับนี้ ทำให้อังกฤษมีอิทธิพลทางด้านการเมืองและการค้าในดินแดนไทย ตั้งแต่ตำบลบางสะพานไปจนตลอดแหลมมลายู เพียงชาติเดียว ทำให้ไทยเสียเปรียบมาก และเมื่อไทยถูกฝรั่งเศสบังคับให้ยกดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส อังกฤษก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด และอนุสัญญานี้ยังเป็นการละเมิดสิทธิประเทศอื่นๆ ที่มีไมตรีกับไทยอีก ทำให้รัฐบาลต้องพยายามหาวิถีทางจะยกเลิกเสียโดยเร็ว</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">7. การเสียรัฐไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิสให้อังกฤษ ร.ศ. 128 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จกลับจากประพาสยุโรปครั้งที่ 2 พ.ศ.2452 นายเอ็ดเวิร์ด สโตรเบล ซึ่งเป็นที่ปรึกษาราชาแผ่นดินชาวอเมริกาเสนอให้ไทยแลกดินแดนมลายูกับการยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ของคนในประเทศอังกฤษในประเทศไทย ขอกู้เงินสร้างทางรถไฟสายใต้ และยกเลิกอนุสัญญาลับปี พ.ศ.2440 การดำเนินงานนี้ประสบผลสำเร็จ มีการลงนามในสนธิสัญญา วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2451 มีใจความสำคัญ ดังต่อไปนี้</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">รัฐบาลไทยยอมยกดินแดนรัฐมลายู คือ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ปะลิส รวมทั้งเกาะใกล้เคียงให้อังกฤษ ฝ่ายอังกฤษยอมให้คนในบังคับอังกฤษทั้งยุโรปและเอเชีย ซึ่งได้จดทะเบียนไว้กับกงสุลก่อนทำสัญญานี้ ให้ไปขึ้นกับศาลต่างประเทศ ส่วนคนในบังคับอังกฤษที่จดทะเบียนหลังทำสนธิสัญญาฉบับนี้ให้ไปขึ้นศาลไทย แต่ขอให้มีที่ปรึกษาทางกฎหมายเป็นชาวยุโรปเข้าร่วมพิจารณาด้วย แต่ศาลกงสุลของอังกฤษก็ยังมีสิทธิจะถอนคดีของคนในบังคับอังกฤษไปพิจารณาได้</span></div><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;">สนธิสัญญานี้มีผลกระทั่งไทยประกาศใช้ประมวลกฎหมายให้ครบถ้วนเป็นเวลา 5 ปี ในสัญญานี้ให้ยกเลิกอนุสัญญาลับ พ.ศ.2440 ด้วย และการสร้างรถไฟสายใต้ รัฐบาลอังกฤษจะให้รัฐบาลไทยกู้เงิน 5 ล้านปอนด์ โดยคิดดอกเบี้ยต่ำ แต่ต้องให้ชาวอังกฤษเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างทางรถไฟสายนี้เอง เพราะอังกฤษต้องการให้บรรจบกับทางรถไฟในมลายูของอังกฤษ</span></div></span></span><p><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;"></span></p><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="color:#3333ff;"><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span">10.</span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="webkit-border-horizontal-spacing: 5px; webkit-border-vertical-spacing: 5px"> <p style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: inline! important; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"><span class="Apple-style-span">การปรับปรุงการเมืองการปกครองสมัยรัชกาลที่ 7</span></span><span class="Apple-style-span"> ทรงมีแนวคิดแบบประชาธิปไตย ดังเห็นได้จากพระราชกรณียกิจดังต่อไปนี้</span></span></span></p></span></span></span></span></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="FONT-WEIGHT: bold"><b><span class="Apple-style-span" style="FONT-WEIGHT: normal"><b><span class="Apple-style-span" style="font-size:medium;"><span class="Apple-style-span" style="COLOR: rgb(51,51,51); webkit-border-horizontal-spacing: 5px; webkit-border-vertical-spacing: 5px"><ul style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"><li style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px; TEXT-ALIGN: left"><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(0,0,0); PADDING-TOP: 0px"><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"><span class="Apple-style-span" style="FONT-WEIGHT: normal">ทรงแต่งตั้งอภิรัฐมนตรีสภา</span></span><span class="Apple-style-span" style="FONT-WEIGHT: normal"> เพื่อเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน</span></span></span></span></span></li><li style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px; TEXT-ALIGN: left"><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(0,0,0); PADDING-TOP: 0px"><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"><span class="Apple-style-span" style="FONT-WEIGHT: normal">โปรดเกล้าฯให้อภิรัฐมนตรีสภา</span></span><span class="Apple-style-span" style="FONT-WEIGHT: normal"> ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้ง "สภากรรมการองคมนตรี" เพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาหารือขอราชการซึ่งพระราชทานลงมาให้ศึกษา และที่พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ปรึกษา</span></span></span></span></span></li><li style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px; TEXT-ALIGN: left"><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(0,0,0); PADDING-TOP: 0px"><span class="Apple-style-span" style="FONT-WEIGHT: normal">ทรงจัดตั้งเสนาบดีสภา</span></span></span><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(0,0,0); PADDING-TOP: 0px"><span class="Apple-style-span" style="FONT-WEIGHT: normal"> เพื่อเตรียมคนให้รับผิดชอบร่วมกันทั้งคณะให้เหมือนคณะรัฐมนตรีแบบตะวันตก เช่นเดียวกับเสนาบดีสภาในสมัย ร.5</span></span></span></span></span></li><li style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px; TEXT-ALIGN: left"><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(0,0,0); PADDING-TOP: 0px"><span class="Apple-style-span" style="FONT-WEIGHT: normal">ทรงมอบหมายให้อภิรัฐมนตรีสภา</span></span></span><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(0,0,0); PADDING-TOP: 0px"><span class="Apple-style-span" style="FONT-WEIGHT: normal">วางรูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปเทศบาล</span></span></span></span></span></li><li style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"><div style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px; TEXT-ALIGN: left" align="left"><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:130%;"><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(0,0,0); PADDING-TOP: 0px"><span class="Apple-style-span" style="FONT-WEIGHT: normal">พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีวิสารวาจา และนายเรย์มอนด์ บี.สตีเวนส์</span></span></span><span style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(0,0,0); PADDING-TOP: 0px"><span class="Apple-style-span" style="FONT-WEIGHT: normal">คิดร่าง "รัฐธรรมนูญ" ตามพระราชดำริ แต่ขณะเดียวกันแนวพระราชดำริของรัชกาลที่ 7 ที่เตรียมการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อพระราชทานต่อปวงชนชาวไทยนั้น ได้รับการคัดค้านจากอภิรัฐมนตรีสภา เพราะเกรงว่าประชาชนยังไม่พร้อม จึงทำให้การเตรียมการต้องชะงักลง เป็นผลให้คณะราษฏรเป็นผู้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองในที่สุด</span></span></span></span></div></li></ul></span><div style="TEXT-ALIGN: left"><span style="font-family:times new roman;"><br /><span style="font-size:130%;"></span></span></div></span></b></span></b></span></div></span></span></span>★♫♬♪❤→B A N K _ F R E E D O M←❤♪♫♬★http://www.blogger.com/profile/06142180092029955884noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24627727029158635.post-39861706273189284912010-09-11T06:29:00.000-07:002010-09-11T08:03:22.373-07:00พัฒนาการชาติไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEwPUPY2Wu5o4FMpqaqawhTnMeBR1d_1Mtk1vlqgwKwIEkvdld90oTIP-uoiRTkrvx4RcvWatYS0RUT9quJicqgDjJHEMxnUYTyky0XeOfgVPimulxM9ei2rgx3CttaJn0NHS19oklidg/s1600/gallery_20090307_dd60190.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 400px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEwPUPY2Wu5o4FMpqaqawhTnMeBR1d_1Mtk1vlqgwKwIEkvdld90oTIP-uoiRTkrvx4RcvWatYS0RUT9quJicqgDjJHEMxnUYTyky0XeOfgVPimulxM9ei2rgx3CttaJn0NHS19oklidg/s400/gallery_20090307_dd60190.jpg" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5515669793301278594" /></a><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihoZ0sdtPKfbl7xT83jtlSbVQldjF8wwq27PGrfKWX4XPQAYPgDCqII7ufhXsSQFgbAe8dFpkbpUbyJsesdSHWjBaCREfxbj1-0aZqoDOdTwVgNcvTVPZku8QO_maajSRlTKEoZi9sA6A/s1600/images.jpg"><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" ><br /></span></div></a><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium; "><p align="justify"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: large;"><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" >พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช</span></span></span><span class="Apple-style-span" ><br /></span> </span><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" > พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี มี</span></span></p><p align="justify"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" >พระนามเดิมว่า ทองด้วง ประสูติเมื่อวันพุธแรม 4 ค่ำ เดือน 4 ปีมะโรง พ.ศ. 2279 เป็นบุตรคนที่ 4 ของหลวงพินิจอักษร ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) และเจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งเป็นพระนมในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช </span></span></p><p align="justify" style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"></span></span><span class="Apple-style-span" style="color: rgb(0, 0, 0); font-size: medium; "><span class="Apple-style-span" > เมื่อพระชนมายุได้ 21 ปี ทรงผนวชอยู่ที่วัดมหาทะลาย เมื่อลาสิกขาบทออกมาได้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กของพระเจ้าอุทุมพร เมื่อพระชนมายุได้ 24 พรรษา ทรงดำรงตำแหน่งเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี ต่อมาได้แต่งงานกับนางสาวนาค พระชนมายุได้ 32 พรรษา ได้เข้ามารับราชการในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงดำรงตำแหน่งเป็นพระราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ เป็นพระยายามราชและเป็นเจ้าพระยาจักรี</span></span></p><p align="justify"></p><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" style="color: rgb(0, 0, 0); font-size: medium; "><span class="Apple-style-span" > ใน พ.ศ. 2320 ได้รับความดีความชอบที่ไปปราบหัวเมืองลาวได้ จึงได้รับพระราชทานตำแหน่งสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และใน พ.ศ.2525 ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดีฯ หรือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงครองราชย์อยู่ 28 ปี เสด็จสวรรคตด้วยพระโรคชรา เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2352 มีพระชนมายุได้ 74 พรรษา ถึงสมัยรัชกาลที่ 9 ทรงได้รับพระราชสมัญญาเป็น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช</span></span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" style="color: rgb(0, 0, 0); font-size: medium; "><span class="Apple-style-span" > ขณะเมื่อพระองค์ได้สถาปนาขึ้นเป็นองค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ช่วงระยะเวลานั้นได้สืบเนื่องมาจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 และการรบพุ่งกันมากในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช บ้านเมืองทรุดโทรมเสียหายมาก ดังนั้นพระองค์จึงต้องฟื้นฟูบ้านเมืองโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะฟื้นฟูอำนาจของอาณาจักรไทยขึ้นมาใหม่ ทั้งทางการเมืองและวัฒนธรรม โดยสืบทอดงานต่อจากสมัยของพระเจ้ากรุงธนบุรีซึ่งมีระยะเวลาค่อนข้างสั้น เช่น การฟื้นฟูอำนาจทางการเมือง ได้แก่ สถาปนาศูนย์กลางอันมั่นคงของอาณาจักร เช่น การสร้างเมืองหลวงขึ้นใหม่ การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในอาณาจักร การทำศึกสงครามป้องกันเอกราชของประเทศ การขยายอำนาจและการรักษาอิทธิพลของไทยในเขตประเทศราช การฟื้นฟูความเจริญวัฒนธรรม เช่น ขนบธรรมเนียมราชประเพณีต่างๆ การฟื้นฟูศาสนา การฟื้นฟูระบอบการปกครองและกฎหมาย การฟื้นฟูศิลปกรรมต่างๆ ซึ่งรัชกาลที่ 1 ทรงเป็นผู้วางรากฐานการฟื้นฟูเหล่านี้ไว้ และรัชกาลที่ 2 และ 3 ทรงประสานงานต่อมา สำหรับนโยบายการรักษาเอกราชความมั่นคงประเทศนั้น นอกจากจะต้องทำสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการรุกรานไทยแล้ว ไทยยังต้องดำเนินนโยบายทางการทูตอย่างระมัดระวังกับประเทศมหาอำนาจตะวันตกที่เริ่มเข้ามาติดต่ออย่างใกล้ชิดกับไทยด้วย</span></span></div><p></p></span><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium; "><p align="LEFT"></p><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"></span></span><p align="justify"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: large;"><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" >การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี </span></span></span><span class="Apple-style-span" ><br /></span></span></p><div style="text-align: left;"> <span class="Apple-style-span" > หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบจลาจลภายในกรุงธนบุรีและสร้างความมั่นคงภายในประเทศแล้ว พระองค์ทรงย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกมายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาและตั้งชื่อใหม่ว่ากรุงเทพฯ ทั้งนี้เนื่องด้วยสาเหตุหลายประการ คือ</span></div></span><span><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" > 1. พระราชวังเดิมของกรุงธนบุรีคับแคบ มีวัดขนาบอยู่ทั้ง 2 ด้าน คือ วัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม) และวัดท้ายตลาด (วัดโมลีโลกยาราม) ทำให้ไม่สามารถขยายอาณาเขตของพระราชวังให้กว้างขวางขึ้นได้<br />2. พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยที่จะให้พระนครแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาผ่ากลางเป็นเสมือนเมืองอกแตก ดังเช่น เมืองพิษณุโลก สุพรรณบุรี เพราะหากข้าศึกยกทัพมาตามลำน้ำ ก็สามารถบุกตีใจกลางเมืองหลวงได้ ทำให้ยากแก่การป้องกันพระนคร ครั้นจะสร้างป้อมปราการทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำ ก็จะเป็นการสิ้นเปลืองเงินทองมาก ทำให้ยากแก่การเคลื่อนพลจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นการยากลำบากมาก ดังนั้นพระองค์จึงย้ายพระนครมาอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเพียงแห่งเดียว โดยมีแม่น้ำเป็นคูเมืองทางด้านตะวันตก และใต้ ส่วนทางด้านตะวันออกและทางด้านเหนือ โปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองขึ้นเพื่อเป็นคูเมืองป้องกันพระนคร<br />3. พื้นที่ทางฝั่งตะวันออกเป็นที่ราบลุ่ม สามารถขยายเมืองให้กว้างขวางออกไปได้เรื่อยๆ ตรงบริเวณที่ตั้งพระนครพื้นที่เป็นแหลม โดยมีแม่น้ำเป็นกำแพงกั้นอยู่เกือบครึ่งเมือง<br /> 4. ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่เป็นท้องคุ้ง น้ำกัดเซาะตลิ่งพังทลายอยู่เสมอ จึงไม่เหมาะแก่การสร้างอาคารหรือถาวรวัตถุใดๆ ไว้ริมฝั่งแม่น้ำ<br /> พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมีรับสั่งให้สร้างเมืองใหม่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่บริเวณหัวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา คือ บริเวณพระบรมมหาราชวังในปัจจุบัน พระราชทานนามเมืองใหม่นี้ว่า “กรุงเทพมหานครบวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุทธนา มหาดิลกภพนพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์ มหาสถานอมรพิมาน อวตารสถิต สักกทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์” ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงเปลี่ยนจากคำว่า “บวรรัตนโกสินทร์” เป็น “อมรรัตนโกสินทร์”<br /> ในการสร้างพระมหาบรมราชวัง โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นภายในด้วย คือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว แล้วให้อัญเชิญพระแก้วมรกตขึ้นประดิษฐาน ทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร” เพื่อเป็นสิริมงคลแก่กรุงเทพฯ</span></span><p></p><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"></span></span><p align="justify"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: large;"><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" >การปกครองของไทยสมัยรัตนโกสินทร์</span></span></span><span class="Apple-style-span" ><br /></span> </span><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" > ตั้งแต่รัชกาลที่ 1-4 มีระเบียบแบบแผนตามแบบสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์มีอำนาจสูงสุดและเด็ดขาดในการปกครองประเทศ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ<br />1. การปกครองส่วนกลาง มีอัครมหาเสนาบดี 2 ตำแหน่ง คือ สมุหกลาโหมเป็นหัวหน้าฝ่ายทหาร รับผิดชอบกิจการด้านการทหารทั่วประเทศและปกครองหัวเมืองฝ่ายใต้ ส่วนสมุหนายกเป็นหัวหน้าฝ่ายพลเรือน รับผิดชอบกิจการด้านพลเรือนทั้งหมดและปกครองหัวเมืองเหนือ ส่วนหัวเมืองชายทะเลด้านฝั่งตะวันออก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงจัดให้อยู่ในความดูแลของกรมท่า นอกจากตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีทั้ง 2 นี้แล้ว ยังมีเสนาบดีจตุสดมภ์ คือ เสนาบดีกรมเมืองหรือกรมเวียง เรียกว่า “พระนครบาล” เสนาบดีกรมวัง เรียกว่า “พระธรรมาธิกรณ์” เสนาบดีกรมคลัง เรียกว่า “พระโกษาธิบดี” เสนาบดีกรมนา เรียกวา “พระเกษตราธิบดี” จตุสดมภ์ทั้ง 4 อยู่ภายใต้การดูแลของสมุหนายก มีหน้าที่และความรับผิดชอบในเรื่องต่างๆ เหมือนครั้งสมัยอยุธยาเว้นแต่กรมคลังที่มีหน้าที่ติดต่อกับต่างประเทศอีกด้วย<br /> 2. การปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งเขตการปกครองออกเป็น หัวเมือง 3 ประเภท ได้แก่หัวเมืองชั้นใน หรือเมืองจัตวา ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่บริเวณรอบๆ เมืองหลวง หัวเมืองชั้นนอก ได้แก่ เมืองพระยามหานครา เมืองเอก โท ตรี ซึ่งอยู่ห่างไกลจากราชธานีออกไป เจ้าเมืองมีอำนาจในการปกครองเมืองอย่างเต็มที่ เพราะอยู่ไกจากราชธานี ส่วนเมืองประเทศราช พระมหากษัตริย์จะแต่งตั้งเจ้าประเทศราชให้ปกครองตนเอง แต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการให้เมืองหลวง 3 ปีต่อ 1 ครั้ง หรือถ้าเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ราชธานี เช่น อุบลราชธานี เขมร ไทยบุรี เชียงใหม่ หลวงพระบาง ต้องส่งปีละครั้ง เมื่อเกิดศึกสงคราม เมืองประเทศราชเหล่านี้ต้องส่งทหารมาช่วยรบทันที หรือในยามปกติอาจเกณฑ์ชาวเมืองประเทศราชมาช่วยให้แรงงานในการปรับปรุงประเทศ<br /> 3. การปกครองส่วนท้องถิ่น แบ่งออกเป็น บ้าน ตำบล และแขวงตามลำดับ ซึ่งอาจเทียบได้กับ หมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ ในปัจจุบัน</span></span></p><p align="LEFT"></p><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"></span></span><p align="justify"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: large;"><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" >กฎหมายและการศาล</span></span></span><span class="Apple-style-span" ><br /></span></span></p><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large; "><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" ></span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" > รากฐานกฎหมายของไทยที่ใช้กันในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้มาจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์หรือคัมภีร์ธรรมสัตถัมของอินเดีย ซึ่งไทยได้รับมาจากมอญอีกต่อหนึ่ง นำมาเป็นรากฐานกฎหมายของสุโขทัยและอยุธยา นอกจากนี้ยังมีพระราชศาสตร์ ซึ่งเป็นพระบรมราชโองการและพระบรมราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์ใช้สำหรับติดสินคดีความต่างๆ</span></span></span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium; "><span class="Apple-style-span" > คราวที่เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 พ.ศ.2310 พระราชกำหนดกฎหมายต่างๆ สูญหายกระจัดกระจายและถูกทำลายไปมากมาย มีเหลืออยู่เพียงส่วนน้อย เมื่อมาถึงสมัยธนบุรีมีการปรับปรุงบ้านเมืองและปราบปรามศัตรูที่คอยมารุกรานอธิปไตยของชาติตลอดรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทำให้มีเวลาแก้ไขตัวบทกฎหมายน้อย ส่วนใหญ่ใช้ของเดิมซึ่งรับมาจากสมัยอยุธยา ครั้นมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมกฎหมายที่หลงเหลืออยู่นำมาชำระให้ถูกต้อง และโปรดให้อาลักษณ์คัดลอกไว้ 3 ชุด แต่ละชุดให้ประทับตราไว้ ได้แก่ ตราราชสีห์เป็นตราประจำตำแหน่งสมุหนายก ตราคชสีห์เป็นตราประจำตำแหน่งสมุหกลาโหม และตราบัวแก้วเป็นตราประจำตำแหน่งพระคลัง หรือกรมท่า หรือโกษาธิบดี กฎหมายฉบับนี้จึงมีชื่อว่า “กฎหมายตราสามดวง” หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ 1”</span></span></div><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > นอกจากจะทรงตรากฎหมายตราสามดวงแล้ว ยังมีอีกฉบับหนึ่งที่มิได้ประทับตราสามดวงไว้ เรียกว่า “ฉบับรองทรง” กฎหมายตราสามดวงนี้เป็นกฎหมายหลักในการปกครองประเทศมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5</span></div></span><p></p><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"></span></span><p align="justify"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: large;"><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" >เศรษฐกิจสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น</span></span></span><span class="Apple-style-span" ><br /></span></span></p><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large; "><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" > </span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" >1. การค้ากับต่างประเทศ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยมีการค้าขายกับต่างประเทศดังนี้</span></span></span></div><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > 1.1 การค้ากับประเทศในเอเชีย ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นการค้าขายส่วนใหญ่ทำกับจีน นอกจากนี้ก็มีชวา สิงคโปร์และอินเดีย ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเป็นการค้าสำเภา มีทั้งสำเภาหลวงและสำเภาเอกชน ซึ่งเป็นการค้าที่สำคัญและทำรายได้ให้กับประเทศมาก สำเภาหลวงที่ปรากฏชื่อในสมัยรัชกาลที่ 1 มีอยู่ 2 ลำ คือ เรือหูสูงและเรือทรงพระราชสาสน์ เรือสำเภานี้ลักษณะแบบจีน ต่อในเมืองไทยใช้ไม้อย่างดี ใช้ลูกเรือเป็นคนจีนทั้งหมด แต่ผู้คุมเป็นคนไทยอยู่ในความดูแลของกรมท่าหรือพระคลังสินค้า</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เรือสำเภาทั้งไทยและจีนติดต่อกับค้าขายกันถึง 140 ลำ สำเภาหลวงที่สำคัญมี เรือมาลาพระนคร และเรือเหราข้ามสมุทร สินค้าออกที่สำคัญได้แก่ ดีบุก งาช้าง ไม้ น้ำตาล พริกไทย รังนก กระดูกสัตว์ หนังสัตว์ กระวาน และครั่ง ส่วนสินค้าเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องถ้วยชามสังคโลก ชา ไหม เงิน ปืน ดินปืน กระดาษ เครื่องแก้ว</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > นอกจากนี้พระองค์ทรงเล็งเห็นความสำคัญและทรงสนับสนุนให้กิจการด้านนี้เจริญก้าวหน้าออกไปโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ซึ่งมีพระปรีชาสามารถเรื่องการค้ากับต่างประเทศเป็นผู้บังคับบัญชากรมท่า มีการต่อเรือกำปั่น 10 ลำ ลำแรกชื่อ อรสุมพล</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > ไทยมีการส่งเครื่องบรรณาการแลกเปลี่ยนกับจีนตลอดมา จนกระทั่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่า วิธีการนี้จีนจะเข้าใจว่าไทยยอมอ่อนน้อมและตกอยู่ภายใต้อำนาจของจีน จึงให้ยกเลิกเสีย</span></div><span class="Apple-style-span" > 1.2 การค้ากับประเทศตะวันตก ตลอดเวลาที่ไทยติดต่อกับชาติตะวันตกนั้น คนไทยมีความรู้สึกไม่ไว้วางใจตลอดมา แม้ไทยจะยอมมีสัมพันธไมตรีทางการทูตและการค้า แต่ไทยก็มีเจ้าหน้าที่คอยเข้มงวด และดูแลอย่างใกล้ชิด ในสมัยรัชกาลที่ 2 อังกฤษได้ส่งนายจอห์น ครอว์เฟิร์ด เป็นทูตเข้ามาเจรจาเรื่องการค้ากับไทย พยายามให้ไทยยกเลิกการผูกขาดของพระคลังสินค้า ให้ไทยจัดระบบการเก็บภาษรีขาเข้าและขาออกให้แน่นอน แต่ไม่สำเร็จ<br /> 2.ภาษีอากร รายได้ส่วนหนึ่งของประเทศที่นำมาใช้สำหรับปรับปรุงประเทศ นอกจากการค้าขายแล้ว ยังได้จากการเรียกเก็บภาษีอากรจากประชาชน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท<br /></span><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > 2.1 ภาษีอากรที่เก็บภายในประเทศ มี 4 ชนิด คือ</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > - จังกอบ คือ การเรียกเก็บสินค้าของราษฎร โดยชักส่วนสินค้าที่ผ่านด่านทั้งทางบกและทางน้ำ ในอัตรา 10 หยิบ 1 หรือ 1 ส่วนต่อ 10 ส่วน</span></div><span class="Apple-style-span" > - อากร คือ เงินหรือสิ่งของที่รัฐเรียกเก็บจากผลประโยชน์ของราษฎรที่ได้จากการประกอบอาชีพนอกจากอาชีพค้าขาย เช่น การทำนา เรียกว่า อากรค่านา การทำสวน เรียกว่า อากรสวนใหญ่ หรือ พลากร หรือ สมพัตสร การจับสัตว์น้ำ เรียกว่า อากรค่าน้ำ การเก็บไข่เต่าเก็บรังนก เรียกว่า อากรค่ารักษาเกาะ นอกจากนี้ยังมีการเก็บอากรบ่อนเบี้ย อากรสุรา อากรตลาด อากรเก็บของป่า อากรขนอน ฯลฯ<br /></span><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > - ส่วย คือ เงินหรือสิ่งของที่ไพร่หลวงนำมาให้แก่ทางราชการทดแทนการเข้าเดือน โดยได้มาจากผลิตผลตามธรรมชาติที่หาได้ภายในท้องถิ่น เช่น ดีบุก พริกไทย มูลค้างคาว ไพร่หลวงนำมาให้แก่ทางราชการทดแทนการเข้าเดือน เรียกว่า ไพร่ส่วย</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > - ฤชา คือ ค่าธรรมเนียมที่ทางราชการเรียกเก็บเฉพาะรายบุคคล เนื่องจากได้รับการบริการจากราชการ เช่น ออกโฉนดที่ดินให้</span></div><span class="Apple-style-span" > 2.2 ภาษีอากรที่ได้จากภายนอกประเทศ<br /></span><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > - ภาษีเบิกร่องหรือภาษีปากเรือ คือ ภาษีที่เก็บจากเรือสินค้าต่างประเทศ โดยคิดจากขนาดความกว้างของปากเรือหรือยานพาหนะที่บรรทุกสินค้าเข้ามา สมัยรัชกาลที่ 1 คิดว่าละ 12 บาท ต่อมาเพิ่มเป็นวาละ 20 บาท สมัยรัชกาลที่ 2 คิดเป็นวาละ 80 บาท สมัยรัชกาลที่ 3 ถ้าเป็นเรือสินค้าที่ไม่ได้บรรทุกสินค้าเข้ามาขายคิดว่าละ 1,500 บาท ถ้าบรรทุกสินค้าคิดว่าละ 1,700 บาท</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > - ภาษีสินค้าออก รัฐเรียกเก็บตามประเภทของสินค้า เช่น ข้าวสารหาบละ 1 สลึง น้ำตาลหาบละ 2 สลึง พอถึงสมัยรัชกาลที่ 3 รัฐเรียกเก็บภาษีขาออกต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มมากขึ้น เช่น เก็บภาษีพริกไทย ภาษีเกลือ ภาษีไม้แดง ภาษีน้ำมันมะพร้าว ภาษีฝ้าย ภาษีปอ ภาษีน้ำตาลทราย ฯลฯ</span></div><span class="Apple-style-span" > 3. หน่วยงาน สินค้าผูกขาด สินค้าต้องห้าม<br /></span><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > 3.1 กรมพระคลังสินค้า ต่อมาเรียกว่า กรมท่า มีหน้าที่ติดต่อกับต่างประเทศ เก็บภาษีเข้าและภาษีออก ตรวจตราเรือสินค้าต่างประเทศ และเลือกซื้อสินค้าตามที่ราชการต้องการ ซึ่งอยู่ในความดูแลของเสนาบดีกรมท่าหรือโกษาธิบดี โดยจะส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจเรือสินค้าก่อน เรียกว่า การเหยียบหัวตะเภา</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > 3.2 สินค้าผูกขาด คือ สินค้าที่ทางราชการต้องการและคิดว่ามีอันตรายหากพ่อค้าจะทำการติดต่อซื้อขายกันโดยตรง ได้แก่ อาวุธ กระสุนปืน ดังนั้นรัฐจึงผูกขาดการซื้อขายเสียเอง</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > 3.3 สินค้าต้องห้าม คือ สินค้าที่หายากและมีราคาแพง ราษฎรต้องนำมาขายให้ทางราชการ เพื่อทางราชการจะได้นำไปขายให้พ่อค้าต่างประเทศ จะได้เป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่รัฐ สินค้าต้องห้าม ได้แก่ งาช้าง รังนก ฝาง กฤษณา ฯลฯ</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > 4. เงินตรา สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังคงใช้เงินพดด้วงเหมือนอยุธยา แต่ประทับตราแตกต่างกันออกไป แล้วแต่ตราประจำรัชกาลนั้นๆ เช่น รัชกาลที่ 1 ประทับตราอุณาโลม รัชกาลที่ 2 ประทับตราครุฑกับจักร รัชกาลที่ 3 ประทับตราปราสาทกับจักร</span></div></span><p></p><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"></span></span><p align="justify"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: large;"><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" >สภาพสังคมและการศึกษา</span></span></span><span class="Apple-style-span" ><br /></span> </span><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" >1. สภาพสังคม โครงสร้างของสังคมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับสังคมอยุธยา ถึงแม้ภายในสังคมจะไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะอย่างอินเดีย แต่ฐานะความเป็นอยู่ของคนก็แตกต่างกันอย่างมาก แต่ละคนจะสามารถเลื่อนฐานะของตนขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้รับความดีความชอบหรือมีความสามารถ เช่น สามัญจะมีโอกาสเลื่อนฐานะของตนจนกระทั่งเป็นถึงขุนนางได้ต้องมได้รับการศึกษา รวมทั้งมีความสามารถอยู่ในตัวเองด้วย การแบ่งชนชั้นทางสังคมของคนแบ่งได้ ดังนี้<br /> 1.1 เจ้านายสูงสุด ได้แก่ พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์<br /> 1.2 ขุนนางและข้าราชการต่างๆ ที่มีศักดินาตั้งแต่ 400-10,000 ไร่ ซึ่งมีความเป็นอยู่ดี ฐานะร่ำรวย มีสิทธิพิเศษหลายอย่าง<br /> 1.3 ไพร่และสามัญชน ได้แก่ ชนส่วนใหญ่ของประเทศ<br /> 1.4 ทาส เป็นผู้ที่มีอิสระในตัวเอง แต่สภาพความเป็นอยู่ของทาสในเมืองไทยดีกว่าประเทศต่างๆ มาก ถ้าทาสทำความดีความชอบต่อบ้านเมือง ก็สามารถเลือกฐานะตนเองเป็นขุนนางได้ ส่วนขุนนางถ้าทำความผิดร้ายแรงก็อาจถูกลดฐานะลงเป็นทาสได้เช่นกัน<br /> ทาสในสังคมสมัยนั้น ได้แก่ ทาสเชลย ทาสในเรือนเบี้ย ทาสสินไพ่ ทาสได้มาแต่บิดามารดา ทาสที่เลี้ยวไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย ทาสที่ช่วยมาจากทัณฑโทษ ทาสท่านให้<br />2. การศึกษา ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ศูนย์กลางของการศึกษาที่สำคัญมีอยู่ 2 แห่ง คือ วังและวัด ขุนนางหรือผู้ดีมีตระกูลมักส่งบุตรหลานของตนเข้าไปฝึกอบรมตามวังและราชสำนัก ถ้าเป็นผู้ชายมักฝากตัวเข้าเป็นมหาดเล็ก เพื่อจะได้ศึกษาวิชาการต่างๆ การใช้อาวุธ การใช้พาหนะในยามสงคราม ผู้หญิงฝึกอบรมวิชาแม่บ้านแม่เรือน การเย็บปักถักร้อย สำหรับการศึกษาในวัด สามัญชนมักนำลูกหลานไปฝากตัวไว้กับพระตามวัด เป็นลูกศิษย์สำหรับใช้สอย หรือบวชอยู่กับพระที่วัด พระจะได้สอนให้หัดเขียนอ่านวิชาหนังสือ วิชาด้านพระศาสนา เช่น ภาษาบาลี สันสกฤต และขอม และจะได้รู้จักขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ<br />การเรียนที่สำคัญอีกแบบหนึ่ง คือ การศึกษาวิชาชีพตามบรรพบุรุษสืบตระกูลถ่ายทอดกันต่อๆ มา เช่น แพทย์ นักกฎหมาย ครูอาจารย์ หรือการสืบทอดอาชีพกันเป็นกลุ่มตามอาชีพของท้องถิ่นนั้น ๆ เช่น ช่างถม ช่างทอง ช่างปั้น ช่างแกะสลัก ฯลฯ</span></span></p><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"></span></span><p align="justify"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: large;"><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" >การศาสนาและขนบธรรมเนียมประเพณี</span></span></span><span class="Apple-style-span" ><br /></span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" >1. ศาสนา</span><br /> - การสังคายนาและชำระพระไตรปิฎก การเสียกรุงครั้งที่ 2 ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมโทรมลงไปมาก และพระไตรปิฎกก็บกพร่องอยู่มาก รัชกาลที่ 1 จึงมีพระราชดำริให้ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นที่วัดมหาธาตุ เมื่อ พ.ศ.2331 ใช้เวลาประมาณ 5 เดือน พระสงฆ์ที่มีส่วนสำคัญในการสังคายนาพระไตรปิฎกนี้ ได้แก่ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) พระวันรัต (สุ) พระพิมลธรรม (วัดพระเชตุพนฯ) พระพุฒาจารย์ (เป้า) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ชำระพระไตรปิฎกตั้งแต่ครั้งกรุงเก่าที่กระจัดกระจาย ให้เป็นระเบียบหมวดหมู่ แล้วจารลงบนใบลาน คัดลอกพระไตรปิฎกเป็นฉบับหลวงขึ้น ปิดทองทั้งปกหน้าปกหลัง แลด้านข้างเรียกว่า “ฉบับทองหรือทองใหญ่ หรือฉบับทองทึบ” และเชิญประดิษฐานไว้ในตู้ประดับมุก ในหอพระมณเทียรธรรมกลางสระ ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวัง<br /> สมัยรัชกาลที่ 2 ทรงส่งสมณทูตไปยังลังกาเพื่อศึกษาความเป็นของศาสนาในลังกาและได้นำหน่อพระศรีมหาโพธิมาจากลังกา<br /> สมัยรัชกาลที่ 3 ทรงให้ตรวจสอบพระไตรปิฎกทั้งจากลังกาและมอญ และให้จารึกอย่างสวยงาม สมัยนี้ได้รับยกย่องว่ามีพระไตรปิฎกที่สวยงามและถูกต้องที่มากที่สุด<br /> - การสังคายนาพระธรรมวินัย รัชกาลที่ 1 ทรงออกกฎหมายสำหรับพระสงฆ์หลายฉบับ เพราะพระสงฆ์สมัยนั้นหย่อนพระธรรมวินัยไปมาก ไม่สนใจเล่าเรียนพระไตรปิฎก การเทศน์ พระสงฆ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของฆราวาส จึงจำเป็นเข้าต้องกำหนดโทษขั้นรุนแรง<br />สมัยรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สำรวจความประพฤติของสงฆ์ ปรากฏว่าพระสงฆ์ถูกจับสึกและหนีเข้าป่าเป็นอันมาก<br /> - การตั้งธรรมยุติกนิกาย ในสมัยรัชกาลที่ 3 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฏทรงผนวชอยู่ ณ วัดมหาธาตุ ทรงสนพระทัยศึกษาพระไตรปิฎก พระพุทธวจนะ และพระธรรมวินัยและทรงเห็นว่า พระภิกษุสงฆ์ในสมัยนั้นไม่ได้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย จึงต้องการจะทำการสังคายนาเสียใหม่ พระองค์ได้ทรงพบพระภิกษุรามัญผู้หนึ่ง ชื่อ ซาย เคร่งครัดในพระธรรมวินัยมาก พระองค์จึงทรงถือเป็นแบบอย่างและทรงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ข้อปฏิบัติของพระองค์จึงผิดไปจากพระสงฆ์รูปอื่นๆ การห่มผ้าก็เป็นแบบรามัญ พระองค์จึงย้ายที่ประทับมาอยู่ ณ วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) ทรงให้นามคณะสงฆ์ของพระองค์ว่า “คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย” ส่วนคณะสงฆ์เดิมเรียกตนเองว่า “คณะสงฆ์มหานิกาย” หลักธรรมของคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ถือว่าเป็นหลักธรรมถูกต้อง เชื่อในสิ่งที่มีเหตุผลมากขึ้น ทำให้ใกล้ชิดและได้รับความเลื่อมใสจากประชาชนมากขึ้น ที่สำคัญคือ มีการเปลี่ยนแปลงการเทศน์ จากภาษาบาลีเป็นภาษาไทย ทำให้เข้าใจง่าย<br /> - การส่งสมณทูตไปลังกา สมัยรัชกาลที่ 2 ได้มีพระภิกษุลังกา ชื่อ พระสาสนวงศ์ อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและต้นโพธิ์ลังกามาถวายใน พ.ศ. 2357 ไทยได้ส่งสมณทูตไปยังลังกาทวีป เพื่อสอบสวนพระศาสนาทั้งหมด 9 รูป มีพระอาจารย์ดีกับพระอาจารย์เทพเป็นหัวหน้า และได้นำหน่อพระศรีมหาโพธิ์มาจากลังกา 6 ต้น ถือว่าเป็นต้นโพธิ์ที่สืบเชื้อสายมาจากต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่พุทธคยาในอินเดีย โปรดเกล้าฯให้นำไปปลูกที่นครศรีธรรมราช 2 ต้น วัดสุทัศน์ฯ 1 ต้น วัดสระเกตุฯ 1 ต้น ที่กลันตัน 1 ต้น และวัดมหาธาตุ 1 ต้น สมัยรัชกาลที่ 3 พระสงฆ์เดินทางไปลังกาเพื่อขอยืมพระไตรปิฎกมาตรวจสอบกับของไทย 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 พ.ศ.2385 ครั้งที่ 2 พ.ศ.2387 กว่าจะส่งคืนก็ล่วงเข้าสมัยรัชกาลที่ 4<br /></span></span></p><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > - การสร้างและปฏิสังขรณ์วัด ศาสนานับเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งปวงไม่ว่าประชาชนหรือพระมหากษัตริย์ ส่วนหนึ่งของพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์เกือบทุกรัชกาลในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นคือ การสร้างและปฏิสังขรณ์วัด มีดังนี้</span></div><span class="Apple-style-span" > 1) วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในเขตพระบรมมหาราชวังชั้นนอก เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับวัดพระศรีสรรเพชญสมัยอยุธยา และวัดมหาธาตุสมัยกรุงสุโขทัย เป็นที่ประดิษฐานแก้วมรกต หรือพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร วัดนี้จึงได้ชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “วัดพระแก้ว”<br />2) วัดสุทัศนเทพวราราม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขนาดใหญ่เช่นเดียวกับวันพนัญเชิงสมัยกรุงศรีอยุธยา บริเวณกำแพงพระนครตรงใจกลางเมืองกรุงเทพฯ เป็นที่ประะดิษฐานของพระศรีศากยมุนี หรือพระโตหล่อด้วยโลหะ ซึ่งอัญเชิญมาจากวิหารหลวงวัดมหาธาตุ สุโขทัย วันนี้ได้ชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “วัดพระโต”<br /></span><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > 3) วัดพระเชตุพนวิมลคลาราม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิวังขรณ์ขึ้นมาใหม่จากเดิมชื่อว่า วัดโพธาราม พระราชทานนามว่า “วัดพระเชติพนวิมลมังคลาวาส ต่อมาเปลี่ยนเป็น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (สมัยรัชกาลที่ 4) เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่จากวัดพระศรีสรรเพชญ กรุงศรีอยุธยา และพระพุทธสาวกปฏิมากร วัดคูหาสวรรค์ กรุงธนบุรี ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่และโปรดเกล้าฯ ให้ประชุมนักปราชญ์ ราชบัณฑิต และช่างต่างๆให้ช่วยกันชำระตำราต่างๆ เช่น วิชาแพทย์โบราณ ยาแก้โรคต่างๆ ตำราหมอนวด กวีนิพนธ์ต่างๆ โดยจารึกไว้บนแผ่นศิลาตามเสาและผนังรายรอบบริเวณวัด วัดนี้จึงจัดว่าเป็น “วิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทย”</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > 4) วัดอรุณราชวราราม เป็นวัดโบราณสร้างแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เดิมเรียกว่า วัดมะกอก แล้วเปลี่ยนเป็นวัดแจ้งในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 1 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทร (รัชกาลที่ 2) ได้ทรงสร้างพระอุโบสถใหม่ เมื่อขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดว่า วัดอรุณราชธาราม ภายหลังเปลี่ยนเป็น วัดอรุณราชวราราม วัดนี้มีพระปรางค์องค์ใหม่ที่เป็น</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" >ปูชนียสถานที่สำคัญและงดงามมาก</span></div> <span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" >2. ขนบธรรมเนียมประเพณี </span></span></span><span class="Apple-style-span" ><br /> ขนบธรรมเนียมประเพณีสมัยต้นรัตนโกสินทร์ยึดตามแบบอยุธยา ที่สำคัญได้แก่<br /></span><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > 2.1 ขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีโสกันต์ (โกนจุก) พระราชพิธีพระเมรุมาศ (การเผาพระบรมศพ) พระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชพิธีสมโภชช้างเผือก ฯลฯ</span></div><span class="Apple-style-span" > 2.2 ขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับพราหมณ์ เช่น พิธีการโล้ชิงช้า การสร้างโบสถ์พราหมณ์ ฯลฯ<br /> 2.3 ขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวบ้านเมือง เช่น พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา พระราชพิธีอาพาธพินาศ พระราชพิธีพืชมงคล ฯลฯ<br /></span><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > 2.4 ขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับชาวบ้าน เช่น การเล่นเพลงสักวา พิธีการทำขวัญนาค การแต่งงาน การเผาศพ การโกนจุก พิธีตรุษสงกรานต์ สารทไทย ฯลฯ</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > 2.5 ขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เช่น พิธีวิสาขบูชา อาสาฬหบูชา มาฆบูชา เข้าพรรษา ออกพรรษา การบวชนาค เทศน์มหาชาติ สมโภชพระแก้วมรกต ฯลฯ</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > พระราชพิธีและขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆที่สำคัญๆ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ครั้นมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ได้รับการฟื้นฟูหลายพิธี เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีโสกันต์ พระราชพิธีสมโภชช้างเผือก พระราชพิธีสมโภชพระแก้วมรกต การเล่นสักวา พระราชพิธีตรียัมปวาย(โล้ชิงช้า) พระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินทอดผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตรา ทางสถลมารคและชลมารค พระราชพิธีอาพาธพินาศ พระราชพิธีวันวิสาขบูชา ฯลฯ พระราชพิธีดั้งเดิมเก่าแก่ของไทยนี้แสดงให้เห็นถึงอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรือง ความสามัคคีกลมเกลียวของคนในชาติ รวมทั้งความมั่นคงเป็นปึกแผ่นมาช้านานของชาติไทย</span></div><p></p><p align="LEFT"></p><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"></span></span><p align="justify"><span class="Apple-style-span" style="font-size: large;"><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" >วรรณกรรมและศิปลกรรม</span></span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" ><br /></span></span></p><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > 1. ด้านวรรณกรรม สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ราชสำนักจัดว่าเป็นศูนย์กลางของวรรณกรรมและเป็นที่ชุมนุมของบรรดากวีทั้งหลาย ซึ่งมีทั้งองค์พระมหากษัตริย์ เจ้านายและบุคคลธรรมดา วรรณคดีที่สำคัญในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้แก่ รามเกียรติ์ ราชาธิราช และสามก๊ก ในรัชกาลที่ 2 ทรงนิพนธ์บทละครไว้หลายเรื่อง แต่ที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด คือ บทละครเรื่องอิเหนา ส่วนกวีเอกสมัยนี้ คือ สุนทรภู่ ซึ่งมีผลงานชั้นเยี่ยมหลายประเภทด้วยกัน มีทั้งบทละคร เสภา นิราศ บทเห่ และกลอน เช่น เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน นิราศภูเขาทอง กลอนสุภาษิตสอนหญิง ฯลฯ</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > 2. ด้านศิลปกรรม ศิลปะแขนงต่างๆ ได้รับการฟื้นฟูอย่างจริงจังจนกลับเจริญรุ่งเรืองเหมือนสมัยกรุงศรีอยุธยา สถาปัตยกรรมที่สร้างอย่างประณีตงดงาม ทรงคุณค่ายิ่งของชาติ ได้แก่ พระราบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดอรุณราชวราราม และวัดราชโรสาราม ซึ่งทั้ง 3 วัดหลังนี้เป็นประจำรัชกาลที่ 1, 2, 3 ตามลำดับ นอกจากนี้แล้วช่างสิบหมู่ยังร่วมกันสร้างผลงานไว้มากมาย เช่น เครื่องราชูปโภคขององค์พระมหากษัตริย์ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ตู้พระไตรปิฎกลายรดน้ำ และเครื่องถ้วยชามเบญจรงค์</span></div><span class="Apple-style-span" > จิตรกรรม ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยังคงเลียนแบบกรุงศรีอยุธยา เช่น การวาดภาพในอาคารที่เป็นพระอุโบสถ หรือพระวิหาร มักจะวาดภาพเทพชุมนุม ตั้งแต่เหนือระดับหน้าต่างขึ้นไปจนถึงเพดาน ส่วนช่วงระหว่างช่องหน้าต่างจะวาดภาพพุทธประวัติ หรือเทศชาติชาดก ผนังด้านหลังพระประธานวาดภาพเรื่องไตรภูมิ และผนังตรงหน้าพระประธานวาดภาพพระพุทธเจ้าตอนมารผจญ เช่น ภาพจิตรกรรมในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พระราชวังบวรสถานมงคล ภาพจิตรกรรมฝาผนังด้านตะวันออกและตะวันตกในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ฯลฯ ทั้งสองแห่งนี้เป็นงานในรัชกาลที่ 1<br /> ต่อมาในรัชกาลที่ 2 ไม่มีงานให้เห็นเด่นชัด เนื่องจากการก่อสร้างที่สำคัญมักจะเสร็จในรัชกาลที่ 3 ดังนั้นภาพจิตรกรรมที่ประดับอาคารนั้นๆ มักจะเป็นภาพจิตรกรรมในรัชกาลที่ 3 ทั้งสิ้น มักจะเป็นภาพจิตรกรรมในรัชกาลที่ 3 ทั้งสิ้น ถือได้ว่ารุ่งเรืองที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และมีอิทธิพลของศิลปะจีนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะการที่มีการติดต่อค้าขายกับจีน ประกอบกับรัชกาลที่ 3 ทรงนิยมด้วย เห็นได้ชัดจากวัดหลวงในรัชกาลนี้ อาคารจะสร้างแบบจีนเป็นส่วนมาก จิตรกรเอกที่มีฝีมือชั้นครูมีผลงานดีเด่นในรัชกาลที่ 3 คือ หลวงวิจิตรเจษฎา หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ครูทองอยู่ และครูคง หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า คงแป๊ะ ผลงานของทั้งสองท่านนี้ถือว่าเป็นมรดกทางจิตรกรรมที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง ภาพจิตรกรรมที่สำคัญในรัชกาลที่ 3 ได้แก่ ภาพจิตกรรมที่พระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดอรุณราชวราราม วัดบางยี่ขัน เป็นต้น<br /> นาฏศิลป์และดนตรีไทยเจริญที่สุดในสมัยรัชกาลที่ 2 เพราะพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงเป็นกวี เป็นศิลปิน และทรงสนพระทัยงานด้านนี้เป็นพิเศษ การเล่นโขนในรัชกาลนี้ได้ใช้เป็นแบบแผนของชาติสืบต่อมา</span><p></p><span><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"></span></span><p align="justify"><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" style="font-size: large;"><span class="Apple-style-span" >การต่างประเทศสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้</span></span><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" style="font-size: large;">น </span></span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span class="Apple-style-span" ><br /><span class="Apple-style-span" style="font-size: large;"><span class="Apple-style-span" >ไทยมีการติดต่อสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ดังนี้</span></span><br />1. ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน นโยบายต่างประเทศที่สำคัญของไทยเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีดังนี้<br /> 1.1 การป้องกันเอกราชของประเทศ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยทำสงครามกับพม่าทั้งหมด 10 ครั้ง ในสมัยรัชกาลที่ 1 นี้มีการทำสงคราม 7 ครั้ง ในสมัยรัชกาลที่ 2 1 ครั้ง สมัยรัชกาลที่ 3 1 ครั้ง และในสมัยรัชกาลที่ 4 1 ครั้ง แต่ส่วนใหญ่ของสงครามในระยะหลังเป็นสงครามย่อยๆ เนื่องจากกรณีพิพาทกันแถบชายแดนระหว่างประเทศ ครั้งสำคัญที่สุดเกิดในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช คือ ศึกเก้าทัพ เป็นสงครามที่ไทยต้องรับศึกหนัก เพราะพม่าได้ใช้กำลังเข้าตีไทยจากทุกด้านในเวลาเดียวกัน หวังจะให้ไทยพะว้าพะวัง แบ่งกำลังออกรับศึกที่มาทุกทิศทุกทาง โดยไม่ต้องการให้ไทยสามารถรวมกำลังได้ ส่วนไทยกำลังพลน้อยกว่าพม่าถึงครึ่งต่อครึ่ง ถ้าจะแบ่งทหารออกไปรักษาเขตแดนทุกทางที่พม่าจะยกเข้ามา กำลังฝ่ายไทยจะอ่อนแอและเสียเปรียบ อีกประการหนึ่งไทยพึ่งสร้างเมืองใหม่ได้ 3 ปีเท่านั้น ไม่ทันได้ปรับปรุงหัวเมืองทางภาคเหนือจึงทำให้ขาดกำลงต้านทานไป ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและบรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีความเห็นพ้องต้องกันว่าควรรับศึกทางด้านที่สำคัญก่อน ด้านที่ไม่สำคัญนักจะปล่อยไว้ชั่วคราว เมื่อสามารถเอาชัยชนะข้าศึกที่เป็นทัพสำคัญได้แล้วจึงจะหันไปปราบข้าศึกทางอื่นต่อไป<br /> การจัดทัพของพม่า การรบครั้งนี้พระเจ้าปดุงจอมทัพ ทรงจัดทัพ ดังนี้<br /> ทัพที่ 1 แบ่งเป็นทัพบกและทัพเรือ ทัพบกมีหน้าที่ตีหัวเมืองปักษ์ใต้ของไทย ตั้งแต่เมืองชุมพรถึงสงขลา เป็นการตัดความช่วยเหลือจากทางใต้ ส่วนทัพเรือมีหน้าที่ตีหัวเมืองชายทะเลทางฝั่งตะวันตก ตั้งแต่เมืองตะกั่วป่าลงไปจนถึงเมืองถลาง และยังมีห้าที่หาเสบียงอาหารให้แก่กองทัพด้วย<br /></span></span></p><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > ทัพที่ 2 ให้รวบรวมพลที่ทวายและให้เดินทัพเข้าทางด้านบ้องตี้ (อยู่จังหวัดราชบุรี) ให้ตีเมืองราชบุรี เพชรบุรี ไปบรรจบกับทัพที่ 1 ที่ชุมพร</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > ทัพที่ 3 เข้าทาทางเมืองเชียงแสน ตีเมืองลำปาง สวรรคโลก สุโขทัย นครสวรรค์ ลงมาบรรจบกับทัพหลวงที่กรุงเทพฯ</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > ทัพที่ 4, 5, 6, 7, 8 ชุมนุมทัพที่เมืองเมาะตะมะก่อน ต่อจากนั้นจึงเดินทัพตามลำดับกันเข้าเมืองไทย ทางด่านเจดีย์สามองค์ ลงมาตีกรุงเทพฯ</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > ทัพที่ 9 มีหน้าที่ตีหัวเมืองเหนือริมฝั่งแม่น้ำปิง ตั้งแต่เมืองตาก กำแพงเพชร ลงมาบรรจบกับทัพหลวงที่กรุงเทพฯ</span></div><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" style="font-size: large;"><span class="Apple-style-span" > การจัดทัพของไทย</span></span> <span class="Apple-style-span" style="font-size: large;"><span class="Apple-style-span" >มีดังนี้</span></span><br /></span><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > ทัพที่ 1 ทางด้านเหนือให้กรมพระราชวังหลัง ในขณะนั้นยังทรงดำรงยศเจ้าฟ้ากรมหลวงอรุรักษ์เทเวศร์ เป็นแม่ทัพคอยรับทัพพม่าทางด้านเหนือ ไม่ให้ยกทัพเข้ากรุงเทพฯได้</span></div><span class="Apple-style-span" > ทัพที่ 2 ทางด้านกาญจนบุรีเป็นทัพใหญ่กว่าทุกด้าน ให้คอยตั้งรับพม่าที่ยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ทัพนี้เป็นทัพสำคัญ เพราะพระเจ้าปดุงยกทัพเข้ามาด่านนี้ แม่ทัพคนสำคัญคือ สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท<br /> ทัพที่ 3 ทางตะวันตกเฉียงใต้ มีหน้าที่รักษาทางลำเลียงของกองทัพที่ 2 และคอยต้านทางทัพพม่าที่จะยกมาจากทางใต้ และที่จะเข้ามาทางด่านบ้องตี้ แม่ทัพคนสำคัญคือ เจ้าพระยาธรรมากับเจ้าพระยายมราช<br /></span><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > ทัพที่ 4 ทัพหลวง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงเป็นจอมทัพตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นกองหนุน ถ้าข้าศึกด้านไหนหนักจะได้ยกไปช่วยได้ทันการ</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > ในศึกเก้าทัพนี้ ทำให้เกิดวีสตรี 2 ท่าน คือ คุณหญิงจัน ภรรยาเจ้าเมืองถลาง และคุณมุกน้องสาว ได้แสดงความกล้าหาญ รวบรวมผู้คนป้องกันเมืองถลางไว้ได้ โดยใช้อุบายหลอกล่อทหารพม่า เสร็จศึกพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้คุณหญิงจัน เป็นท้าวเทพกระษัตรี คุณมุกเป็นท้าวศรีสุนทร</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > 1.2 การขยายอาณาเขตและป้องกันดินแดนประเทศราช อาณาเขตของไทยในสมัยรัชกาลที่ 1 มีอาณาเขตกว้างขวางมาก นอกจากดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันแล้วยังรวบรวมเอาดินแดนของประเทศลาว เขมร หัวเมืองมลายูตอนเหนือ และดินแดนตอนล่างของพม่าที่เป็นหัวเมืองทวาย มะริด และตะนาวศรี</span></div><span class="Apple-style-span" >2. ความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น<br /> 2.1โปรตุเกส ฝรั่งชาติแรกที่เข้ามาติดต่อกับไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือชาวโปรตุเกส ชื่อ อันโตนิโอ เดอ วิเสนท์ (Antonio de Veesent) คนทั่วไป รียกว่า “องคนวีเสน” เป็นอัญเชิญพระราชสาสน์จากกรุงลิสบอนมายังประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้การต้อนรับอย่างใหญ่โตและทรงให้องตนวีเสนเข้าเฝ้าด้วย และทางไทยได้มีพระราชสาสน์ตอบมอบให้องตนวีเสนเป็นผู้อัญเชิญกลับไป<br /> ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พ.ศ.2361 ได้ส่งเรือชื่อ มาลาพระนคร ออกไปค้าขายกับโปรตุเกสที่เมืองมาเก๊า ในการติดต่อครั้งนี้ไทยได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ขากลับข้าหลวงโปรตุเกสที่มาเก๊าได้ส่ง คาร์ลอส มานูแอล ซิลเวียรา (Carlos Manuel Silviera) เป็นทูตอัญเชิญพระราชสาสน์เข้ามาขอเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย พร้อมทั้งส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้มากมาย โดยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี ในขณะนั้นไทยมีความประสงค์จะซื้ออาวุธปืน ซึ่งโปรตุเกสก็ยินยอมจัดหาซื้อปืนคาบศิลาให้ไทยถึง 400 กระบอก<br /></span><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > พ.ศ.2363 กษัตริย์โปรตุเกสมีพระราชประสงค์จะขอตั้งสถานกงสุลขึ้นในประเทศไทยของขอให้คาร์ลอส มานูแอล ซิลเวียรา เป็นกงสุลโปรตุเกสประจำประเทศไทย ซึ่งไทยก็ยอมแต่โดยดี ซึ่งนับว่าเป็นการตั้งสถานกงสุลต่างประเทศเป็นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ และรัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้คาร์ลอส เดอ มานูแอล ซิลเวียรา รับราชการเป็นขุนนาง พระราชทานตำแหน่งให้เป็น หลวงอภัยพานิช</span></div><span class="Apple-style-span" > 2.2 อังกฤษ สมัยรัชกาลที่ 1 พระยาไทรบุรี คือ อับดุลละ โทกุรัมซะ ตกลงเซ็นสัญญาให้อังกฤษเช่าเกาะหมาก (ปีนัง) และสมารังไพร ซึ่งเป็นดินแดนที่อยู่ตรงข้ามเกาะหมากปีละ 1,000 เหรียญ ซึ่งดินแดนเหล่านี้อยู่ในความดูแลของไทย เหตุที่พระยาไทรบุรีให้อังกฤษเช่าดินแดนทั้ง 2 นี้ ก็เพื่อหวังพึ่งอังกฤษให้พ้นจากอิทธิพลของไทย แต่อังกฤษก็พยายามผูกไมตรีกับไทย โดยให้ ฟรานซิส ไลท์ หรือกับปตันไลท์ (Francis Light) นำดาบประดับพลอยกับปิ่นด้ามเงินมาทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 1 พระองค์จึงทรงพระราชทานบรรดาศักดิ์ว่า “พระยาราชกปิตัน” ซึ่งเป็นชาวยุโรปคนแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ที่เข้ารับราชการเป็นขุนนาง และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์<br /> สมัยรัชกาลที่ 2 พ.ศ.2365 มาร์ควิส เฮสติงส์ (Marquis Hestings) ผู้สำเร็จราชการอังกฤษที่อินเดีย ได้ส่งนายจอห์น ครอว์เฟิร์ด (John Craeford) หรือที่คนไทยเรียกว่า “การะฟัด” นำเครื่องราชบรรณาการเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย พร้อมมาขอเจรจาเพื่อทำสนธิสัญญากับไทยโดยมุ่งหวังจะขยายตลาดการค้าเข้ามาในไทย ให้ไทยยอมรับการเช่าเกาะหมากและสมารังไพรของอังกฤษ ขอให้ไทยยกเลิกและลดหย่อนการเก็บภาษีบางอย่าง และต้องการมาศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของบ้านเมืองไทยให้ละเอียด เพื่อจะได้ทำแผนที่และทำรายงานเกี่ยวกับพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ต่างๆ ประชากร สภาพความเป็นอยู่และความเป็นไปของไทยต่อรัฐบาลอังกฤษ แต่ปรากฏว่าการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะ<br /> - ทั้ง 2 ฝ่ายไม่เข้าใจภาษากันดีพอ ต้องใช้ล่ามแปลกันหลายต่อ ทำให้ความหมายคลาดเคลื่อนไป ล่ามของทั้งสองฝ่ายเป็นพวกคนชั้นต่ำพวกกะลาสีเรือ ทำให้ขุนนางไทยและครอว์เฟิร์ดไม่เข้าใจกันประเพณีบางอย่างของไทยทำให้ฝรั่งดูถูกเหยียดหยาม เช่น ขุนนางออกรับแขกเมืองไม่ยอมสวมเสื้อ<br /></span><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > - ครอว์เฟิร์ดไม่พอใจที่ไทยไม่ยอมอ่อนน้อมต่ออังกฤษเหมือนพวกชวาและมลายูที่เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ส่วนไทยไม่พอใจที่อังกฤษแสดงท่าทางเย่อหยิ่งข่มขู่ดูหมิ่นไทย ไม่เหมือนกับจีนที่ปฏิบัติตนอ่อนน้อมยินยอมทำตามระเบียบต่างๆ อย่างดี</span></div><span class="Apple-style-span" > - ไทยไม่ยอมตกลงปัญหาดินแดนไทรบุรีที่อังกฤษขอร้อง<br /></span><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > - คอรว์ เฟิร์ดทำการสำรวจระดับน้ำตามปากอ่าวไทยเพื่อทำแผนที่ ทำให้ไทยไม่พอใจ ต่อมาครอว์เฟิร์ดได้ส่งผู้สำเร็จราชการอังกฤษประจำสิงคโปร์เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีต่อไทย ปรากฏว่าไทยเริ่มมีการค้าขายกับอังกฤษมากขึ้น ถึงกับมีพ่อค้าอังกฤษเข้ามาตั้งร้านค้าในกรุงเทพฯ ชื่อ โรเบอร์ต ฮันเตอร์ ( Robert Hunter) ซึ่งเป็นพ่อค้าชาวตะวันตกคนแรกที่เข้ามาตั้งร้านค้าขึ้นภายในประเทศไทย ต่อมานายโรเบอร์ต ฮันเตอร์ ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหลวงอาวุธวิเศษ คนไทยนิยมเรียกว่า “นายหันแตร”</span></div><span class="Apple-style-span" > เริ่มสมัยรัชกาลที่ 3 อังกฤษทำสงครามกับพม่า และได้ขอร้องให้ไทยยกกองทัพไปช่วยปราบพม่า แต่เกิดเหตุผิดใจกันไทยจึงยกทัพกลับหมด ต่อ ลอร์ด แอมเฮิร์สต์ (Lord Amgerst) ผู้สำเร็จราชการอังกฤษประจำอินเดียได้ ส่งร้อยเอก เฮนรี เบอร์นี (Henry Berney) เป็นทูตเข้ามาเจรจาขอทำสนธิสัญญากับไทย โดยมีจุดมุ่งหมาย ดังนี้<br /> 1. เพื่อขอให้ไทยส่งกองทัพไปช่วยอังกฤษรบพม่า<br /> 2. เพื่อต้องการตกลงเรื่องเมืองไทรบุรีและหัวเมืองมลายู<br /> 3. เพื่อชักชวนให้ไทยยอมทำสนธิสัญญาทางการค้ากับอังกฤษ<br /> 4. เพื่อสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างไทยกับอังกฤษ<br /> สนธิสัญญาฉบับนี้ได้ทำเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2369 เป็นสนธิสัญญาโดยสมบูรณ์ฉบับแรกใน<span class="Apple-style-span" style="font-size: large;"><span class="Apple-style-span" >สมัยรัตนโกสินทร์ เป็นสนธิสัญญาทางพระราชไมตรี เรียกว่า “สนธิสัญญาเบอร์นี มีสาระสำคัญ ดังนี้</span></span><br /> 1. ไทยกับอังกฤษจะมีไมตรีอันดีต่อกัน ไม่คิดร้ายหรือรุกรานดินแดนซึ่งกันและกัน<br /> 2. เมื่อเกิดคดีความขึ้นภายในอาณาเขตประเทศไทย ก็ให้ไทยตัดสินตามกฎหมายและขนบธรรมเนียมและประเพณีของไทย<br /> 3. ทั้งสองฝ่ายจะอำนวยความสะดวกในด้านการค้าซึ่งกันและกัน และอนุญาตให้ฝ่ายตรงข้ามเช่าที่ดินเพื่อตั้งโรงสินค้า ร้านค้า หรือบ้านเรือนได้<br /> 4. อังกฤษยอมรับว่าดินแดนไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู เประ เป็นของไทย<br /> ส่วนสนธิสัญญาฉบับที่ 2 เป็นสนธิสัญญาทางการค้า มีสาระสำคัญ ดังนี้<br /> 1. ห้ามนำฝิ่นเข้ามาขายในไทย และห้ามนำข้าวสาร ข้าวเปลือกออกนอกประเทศไทย<br /> 2. อาวุธและกระสุนดินดำที่อังกฤษนำมาต้องขายให้แก่รัฐแต่ผู้เดียว ถ้ารัฐไม่ต้องการต้องนำออกไป<br /> 3. เรือสินค้าที่เข้ามาต้องเสียภาษีเบิกร่องหรือภาษีปากเรือ<br /> 4. อนุญาตให้พ่อค้าอังกฤษค้าขายโดยเสรี<br /> 5. ถ้าพ่อค้าหรือคนในบังคับอังกฤษ พูดจากดูหมิ่นหรือไม่เคารพขุนนางไทย อาจถูกขับไล่ออกจากไทยได้ทันที<br /> ผลของสนธิสัญญาทั้ง 2 ฉบับนี้ ทำให้ไทยกับอังกฤษมีความผูกมัดซึ่งกันและกัน มีความเท่าเทียมกัน ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน<br /></span><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > ต่อมาอังกฤษต้องการได้ สิทธิภาพนอกอาณาเขต เหนือดินแดนไทย ลอร์ด ปาเมอร์สตัน (Lord Palmerston)รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ จึงส่งเซอร์ เจมส์ บรุค (James Brooke) เป็นทูตมาขอแก้ไขสนธิสัญญากับไทย พ.ศ.2393 โดยขอลดภาษีปากเรือ ขอตั้งสถานกงสุลในไทย ขอนำฝิ่นเข้ามาขาย และขอนำข้าวออกไปขายนอกประเทศ แต่ขณะนั้นรัชกาลที่ 3 กำลังทรงพระประชวร จึงไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้า</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > 2.3 สหรัฐอเมริกา พ.ศ.2364 สมัยรัชกาลที่ 2 พ่อค้าอเมริกาชื่อ กัปตันแฮน (Captain Han) เดินทางเข้ามาค้าขายที่กรุงเทพฯ เป็นชาวอเมริกันคนแรกที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย และได้นำปืนคาบศิลามาถวายแด่รัชกาลที่ 2 จำนวน 500 กระบอก รัชกาลที่ 2 จึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น หลวงภักดีราช หรือหลวงภักดีราชกปิตัน และได้พระราชทานสิ่งของให้คุ้มค่ากับราคาปืนทั้งหมด ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้งดเว้นการเก็บภาษีจังกอบอีกด้วย</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" > สมัยรัชกาลที่ 3 ประธานาธิบดีแอนดรูว์ แจคสัน (Andrew Jackson) ได้ส่ง นายเอ็ดมันด์ โรเบอร์ต (Edmund Robert) คนไทยเรียกว่า “เอมินราบัด” เป็นทูตเดินทางเข้ามาขอทำสนธิสัญญาการค้ากับไทย ซึ่งมีใจความทำนองเดียวกับที่ไทยทำกับอังกฤษ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2375 และ พ.ศ.2393 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ส่ง นายโจเซฟ บัลเลสเตียร์ ((Joseph Balestier) เข้ามาขอแก้สนธิสัญญาฉบับเก่า แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ</span></div><p></p><div><span><br /></span></div></span></span>★♫♬♪❤→B A N K _ F R E E D O M←❤♪♫♬★http://www.blogger.com/profile/06142180092029955884noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24627727029158635.post-62657626828449431442010-08-07T21:35:00.000-07:002010-09-11T07:07:39.189-07:00โครงงาน ตำนานเกาะหนูเกาะแมวและ นางเงือก<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEQ8g4FBl5sbz3FAjAQZhgnW5gyE9mjD1QOEmLNktLqmtYDbaVPNF9O3YsfKQjaljHiV0vPE2Mq5DMsYJNZR7v8XCcB_a-XdWqsNHvyIDkcNsGLD6Jl1Cg8AcYqjmp6DFg_xEOxuUD0dM/s1600/IMG_8933.JPG"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 400px; height: 300px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEQ8g4FBl5sbz3FAjAQZhgnW5gyE9mjD1QOEmLNktLqmtYDbaVPNF9O3YsfKQjaljHiV0vPE2Mq5DMsYJNZR7v8XCcB_a-XdWqsNHvyIDkcNsGLD6Jl1Cg8AcYqjmp6DFg_xEOxuUD0dM/s400/IMG_8933.JPG" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5515642687392555186" /></a><br /><span><span style="color:#3333ff;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;"><div><span><span style="color:#3333ff;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;"><br /></span></span></span></span></div>ความเป็นมาของโครงงาน</span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;"><br /></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br /></span></span></span><span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;">เนื่องจากนักเรียนต้องการที่จะศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่อง ประวัติความเป็นมาของ เกาะหนูเกาะแมว และ นางเงือกซึ่ง เกาะหนูเกาะแมว และ นางเงือกเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดสงขลา ที่ตั้งโดนเด่นอยู่ที่แหลมสมิหลา ใครมาเที่ยวที่จังหวัดสงขลาอันเป็นว่าจะต้องมาถ่ายรูปกับเกาะหนูเกาะแมว และ นางเงือก ถ้าไม่ได้ถ่ายรูปก็ถือว่ายังมาไม่ถึงเมืองสงขลา จึงทำให้ เกิดโครงงานชิ้นนี้ขึ้นมา<br /><span style="color:#3333ff;"></span><br /></span></span></span><span><span style="color:#3333ff;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;">วัตถุประสงค์</span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br /></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br /></span></span></span><span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;">1.เพื่อศึกษาค้นคว้าประวัติความเป็นมาของเกาะหนูเกาะแมว และ นางเงือก<br />2. เพื่อฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์<br />3. เพื่อฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม<br /><span style="color:#3333ff;"></span><br /></span></span><span style="color: rgb(51, 51, 255); "><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;">แผนผังโครงงาน</span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br /><br />ชื่อเรื่อง<br />- โครงงาน ตำนานเกาะหนูเกาะแมวและ นางเงือก<br />ความเป็นมา<br />วัตถุประสงค์<br /></span></span></span><span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;">แผนผังโครงงาน<br />ขั้นตอนการดำเนินการ<br />ผลของการศึกษา<br />ประโยชน์ของการศึกษา<br />วิธีการนำเสนอ<br />แหล่งอ้างอิง<br /><span style="color:#3333ff;"></span><br /></span></span></span><span><span style="color:#3333ff;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;">ขั้นตอนการดำเนินงาน</span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br /></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br />1 วางแผนว่าต้องการจะศึกษาเรื่องอะไร<br />2. ศึกษาแหล่งข้อมูลสถานที่ที่เราต้องการที่จะศึกษาค้นคว้า<br />3. มอบหมายงานให้แก่เพื่อนในกลุ่ม<br />4. ไปศึกษาตามสถานที่ ที่เรากำหนด<br />5. รวบข้อมูล<br />6. จัดเข้ารูปเล่ม<br />7. นำเสนอ<br /><span style="color:#3333ff;"></span><br /></span></span><span style="color: rgb(51, 51, 255); "><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;">ผลของการศึกษา</span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br /><br />หลังจากที่นักเรียนในกลุ่มได้ไปศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับประวัตินางเงือก และเกาะหนูเกาะแมวจากนั้นรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้ว มอบหมายให้สมาชิกทุกคนรับไปจัดพิมพ์เอกสารเนื้อหาทั้งหมด จากนั้นช่วยกันจัดเข้ารูปเล่ม ภายในเล่มประกอบด้วยข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาของนางเงือก และเกาะหนูเกาะแมว<br /><span style="color:#3333ff;"></span><br /></span></span><span style="color: rgb(51, 51, 255); "><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;">ประวัติความเป็นมาของนางเงือก และเกาะหนูเกาะแมว</span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br /><br />แหลมสมิหลา อยู่ในเขตเทศบาลเมือง ห่างจากตลาดทรัพย์สิน (ตลาดสดเทศบาล) ประมาณ 2.5 กิโลเมตร มีหาดทรายขาวสะอาด ทิวสนร่มรื่น รูปปั้นนางเงือกอันเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดสงขลา และรูปปั้นหนูแมว โดยรอบบริเวณได้จัดสวนหย่อมไว้ดูร่มรื่นเหมาะเป็นที่นั่งพักผ่อนยามเย็น เมี่อมองออกไปในทะเลจะเห็น เกาะหนูเกาะแมว อันเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งของแหลมสมิหลา<br /><span style="color:#3333ff;"></span><br /></span></span><span style="color: rgb(51, 51, 255); "><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;">เกาะหนู - เกาะแมว</span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br /><br />ในสมัยอดีตกาลนนานมาแล้ว ครั้งนั้นจังหวัดสงขลายังไม่มีเกาะและภูเขาเหมือนเช่นทุกวันนี้ เรี่องที่จะเกิดมีภูเขาและเกาะต่างๆขึ้นนั้น ก็เนื่องมาจากมีเศรษฐีชาวจีนผู้หนึ่งได้แล่นเรือสำเภามาเมืองไทย และได้จัดซื้อข้าวที่เมืองสงขลาไปขายที่เมืองจีน เศรษฐีนี้มีแก้วสารพัดนึกหรือแก้ววิเศษอยู่อันหนึ่ง ซึ่งแกหวงมากไม่ยอมให้ใครแตะต้อง และได้เก็บไว้ในห้องอย่างมิดชิดมาก กล่าวกันว่าไม่เคย่มีใครได้เข้าไปใกล้ชิดหรือได้เคยเห็นแก้ววิเศษนั้นเลย ครั้นเศรษฐีผู้นี้ก็ได้แล่นเรือมาที่สงขลา เพื่อบรรทุกข้าวไปขายที่เมืองจีนอีก คราวนี้เผอิญมีหนูตัวหนึ่งติดเรือไปด้วย หนูตัวนี้เป็นหนูที่ฉลาดมาก มันรู้ว่าตาเศรษฐีเจ้าของเรือมีแก้ววิเศษ มันก็คิดอยากจะได้มา แล้วมันก็วางแผนที่จะเอามาเป็นของมันอยู่ตลอดเวลา แล้วมันก็ได้ขโมยเอาแก้ววิเศษจากเศรษฐีนั้นมา โดยมันได้คาบลูกแก้วว่ายน้ำมายังสงขลา ฝ่ายเศรษฐีเมื่อรู้ว่าลูกแก้วถูกขโมยก็ตกใจมากประกอบกับเห็นรอยผ้าที่หนูกัดเป็นวงๆก็รู้ทันทีว่าเป็น เข้ามาขโมยไปแน่ๆ ทำให้เศรษฐีเสียใจเป็นอันมาก เศรษฐีผู้นี้แกยังได้เลียงสัตว์ไว้ 3 ตัว คือสุนัข 2 ตัว กับแมว 1 ตัว เจ้าสัตว์ทั้ง 3 ตัวนี้เป็นสัตว์ที่แสนรู้ และมีความกตัญญูมาก เมื่อมันเห็นเจ้านายของมันเศร้าโศกเสียใจก็รู้ทันทีว่าเศรษฐีเป็นอะไรจึงได้พากันออกกระโจนลงทะเล ว่ายน้ำตามหาลูกแก้วมาคืนให้เศรษฐีทันที แมวและสุนัขว่ายน้ำออกตามหาหนูอยู่หลายวันก็อ่อนเพลียไปตามๆกัน หนูก็พยายามว่ายเข้าฝั่งเมืองสงขลา สุนัขและแมวก็ว่ายตามมาอย่างกระชั้นชิด ครั้นใกล้ถึงปากอ่าวเมืองสงขลาหนูก็เห็นสุนัขและแมวว่ายตามมาก็ตกใจกลัว จึงปล่อยแก้ววิเศษที่คาบมานั้นตกลงทะเลไป เมื่อหมดอำนาจของแก้ววิเศษหนูก็หมดแรงไม่สามารถว่าเข้าหาฝั่งได้ประกอบกับทั้งเหนื่อยล้า ฝ่ายแมวก็หมดแรงเหมือนกันดังนั้นทั้งหนูและแมวต่างจมน้ำตายที่ปากอ่าวเมืองสงขลานั้น ส่วนสุนัขมีกำลังมากกว่าก็พยายามว่ายเข้าไปจนถึงฝั่ง แต่ถึงกระนั้นก็พยายามเดินโซซัดโซเซ ไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ล้มลงขาดใจตายด้วยความเหนื่อยและความหิว แก้วสารพัดนึกหรือแก้ววิเศษที่จมอยู่ใต้ท้องทะเลตรงปากอ่าวก็ได้กลายเป็นหาดทรายขึ้นมา และด้วยอานุภาพของแก้ววิเศษก็บันดาลให้หนู และแมวที่จมน้ำตายนั้นกลายเป็นเกาะขึ้นมาเรียกว่า "เกาะหนู" และ "เกาะแมว" มาจนทุกวันนี้ ส่วนซากของสุนัข 2 ตัวก็กลายเป็นภูเขาสองลูกเรียกกันว่า "เขาน้อย" และ "เขาตังกวน" หาดทรายที่เกิดขึ้นเพราะอำนาจแก้ววิเศษก็เลยได้ชื่อว่า "หาดแก้ว" มาจนถึงทุกวันนี้<br /><br />หมายเหตุ: ที่ชื่อว่าเขาตังกวนนั้น เข้าในกันว่าเพี้ยนมาจากคำว่า "ตาก"<br /><span style="color:#3333ff;"></span><br /></span></span></span><span><span style="color:#3333ff;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;">ประวัติจากสถานที่จริง</span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br /></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br />“มีพ่อค้าชาวจีนผู้หนึ่งคุมเรือสำเภาเดินทางมาค้าขายระหว่างจีนกับสงขลาเป็นประจำ วันหนึ่งพ่อค้าผู้นี้ได้ซื้อหมากับแมวลงเรือไปเมืองจีนด้วย หมากับแมวอยู่บนเรือนานๆเกิดความเบื่อหน่ายจึงปรึกษาหาวิธีการที่จะกลับบ้าน หมากับแมวได้ทราบว่าพ่อค้ามีดวงแก้ววิเศษที่ทำให้ไม่จมน้ำ แมวจึงคิดอุบายโดยให้หนูไปขโมยแก้ววิเศษของพ่อค้ามา และหนูขอหนีขึ้นฝั่งไปด้วย ทั้งสามว่ายน้ำหนีลงจากเรือโดยที่หนูอมดวงแก้วเอาไว้ในปาก ขณะนั้นหนูนึกขึ้นได้ว่าถ้าถึงฝั่ง หมากับแมวคงจะแย่งเอาดวงแก้วไปจึงคิดที่จะหนี ฝ่ายแมวซึ่งว่ายตามหลังมาก็คิดเช่นกัน จึงว่ายน้ำรี่ไปหาหนู หนูตกใจว่ายน้ำหนีไม่ทันระวังตัว ดวงแก้ววิเศษที่อมไว้จึงตกลงจมหายไปในน้ำ หนูและแมวต่างก็หมดแรงจมน้ำตายกลายเป็นเกาะหนูเกาะแมวอยู่ที่อ่าวหน้าเมือง ส่วนหมาตะเกียกตะกายว่ายน้ำไปจนถึงฝั่งและสิ้นใจตายด้วยความเหน็ดเหนื่อยกลายเป็นหินบริเวณเขาตังกวนอยู่ริมอ่าวสงขลา ดวงแก้ววิเศษที่หล่นจากปากหนูแตกละเอียดกลายเป็นหาดทรายแก้วอยู่ทางด้านเหนือของ<br />แหลมสน”<br /><span style="color:#3333ff;"></span><br /></span></span><span><span style="color:#3333ff;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;">ประวัติรูปปั้นนางเงือก</span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br /></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><span style="color:#000000;"></span><br /></span></span><span style="color:#000000;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;">รูปปั้นนางเงือกนี้</span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;">สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2509 ตามดำริของ นายชาญ กาญจนาคพันธุ์ ปลัดจังหวัดสงขลา ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองสงขลาด้วย โดยให้อาจารย์จิตร บัวบุศย์ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนเพาะช่าง เป็นผู้ปั้นหล่อจากบรอนซ์รมดำ โดยใช้งบประมาณของเทศบาล 60000 บาท ตั้งชื่อว่า เงือกทอง (Golden Mermaid) เป็นสัญลักษณ์ของแหลมสมิหลามาจนทุกวันนี้ นางเงือก เป็นนางในวรรณคดีไทยเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ เอกกวีสมัยรัชกาลที่ 2 (พ.ศ.2352-2367) ตามคำบอกเล่าของขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) นั้น นิทานปรัมปราไทยเรื่องหนึ่งมีว่า ในคืนท้องฟ้างาม ณ ชายหาดสวยแห่งหนึ่ง จะมีนางเงือกขึ้นจากทะเลมานั่งหวีผมอยู่ คืนหนึ่งมีชายหนุ่มชาวประมงไปพบเข้า นางเงือกตกในหนีลงน้ำไป ทิ้งหวีทองคำไว้ ชาวประมงผู้นั้นเฝ้าแต่รอคอย แต่นางเงือกก็ไม่ปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย<br /><span style="color:#3333ff;"></span><br /></span></span><span style="color: rgb(51, 51, 255); "><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;">ประโยชน์ของการศึกษา</span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br /><br />ทำให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวประวัติความเป็นมาของนางเงือก และเกาะหนูเกาะแมว สามารถที่จะนำความรู้ไปเผยแพร่ได้ และยังทำให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สืบเนื่องไปยังการฝึกการทำงานเป็น<br /><span style="color:#3333ff;"></span><br /></span></span><span style="color: rgb(51, 51, 255); "><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;">วิธีการนำเสนอ</span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br /><br />- นำเสนอผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดย </span></span></span><a href="http://www.blogger.com/"><span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;">http://www.blogger.com/</span></span></span></a><span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br /></span></span></span><span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;">- นำเสนอเป็นรูปเล่มรายงาน<br /><span style="color:#3333ff;"></span><br /></span></span><span><span style="color:#3333ff;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;">ความรู้สึกที่มีความรู้ต่อโครงงาน</span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br /></span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br />1. ดีใจที่ได้ทำโครงงานนี้เพราะได้รู้ถึงประวัติของนางเหงือกมากขึ้นและได้รู้ประวัติของเกาะหนูเกาะแมวมากขึ้นอีกด้วย<br />2. ดีใจมากที่ได้ทำโครงงานประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเมืองสงขลาเกี่ยวกับนางเหงือกและได้รู้ความเป็นมาเกี่ยวกับนางเหงือกที่เรายังไม่ได้รู้<br />3. รู้สึกปราบปลื้มใจมากๆๆเพราะทำให้เราได้ประโยชน์จากจากไปทำโครงงานที่นางเงือกและเกาะหนูเกาะแมวมากขึ้นทำให้ได้รู้ตำนานนางเงือกมากขึ้นอีกด้วย<br /></span></span></span><span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;">4. ดีใจมากที่ได้ทำโครงงานนี้ เพราะเราสามารถบอกถึงความเป็นมาของนางเหงือก<br /><span style="color:#3333ff;"></span><br /></span></span></span><span><span style="color:#3333ff;"><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;">แหล่งอ้างอิง</span></span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-large;"> </span></span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><br /><br /></span></span></span><span><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;">http://th.wikipedia.org/wiki<br />http://www.thaitravel.biz/detail_main.php?region=5&province_id=11&class=3&id=1654<br />http://www.songkhlaportal.com/forums/index.php?topic=308.0</span></span></span>★♫♬♪❤→B A N K _ F R E E D O M←❤♪♫♬★http://www.blogger.com/profile/06142180092029955884noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24627727029158635.post-38433133617216584982010-06-03T05:22:00.000-07:002010-06-03T07:20:18.570-07:00วันวิสาขบูชา<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEixNE_X-vXcrMFuPR9YreI8F1P341Sf2bYGQOf0fZVLUMCNCrvbdYr0ysRz5Ot5gEt6XYQTCu53is_08FpwKKXYx6r-Nrui4rQgTOdF20xuTYV4eAY6yWGa2HJSKxbUE8ISqErbcNoSsPk/s1600/200px-Wat_Phra_Yuen_Phutthabat_Yukhon_04.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5478549040335075042" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 267px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEixNE_X-vXcrMFuPR9YreI8F1P341Sf2bYGQOf0fZVLUMCNCrvbdYr0ysRz5Ot5gEt6XYQTCu53is_08FpwKKXYx6r-Nrui4rQgTOdF20xuTYV4eAY6yWGa2HJSKxbUE8ISqErbcNoSsPk/s400/200px-Wat_Phra_Yuen_Phutthabat_Yukhon_04.jpg" border="0" /></a> <span style="font-family:trebuchet ms;"><span style="color:#993399;">วันวิสาขบูชา หรือ วิศาขบูชา</span> (</span><a title="ภาษาบาลี" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸"><span style="font-family:trebuchet ms;">บาลี</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">: วิสาขปูชา; <a title="ภาษาอังกฤษ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸"><span style="font-family:trebuchet ms;">อังกฤษ</span></a></span><span style="font-family:trebuchet ms;">: Vesak) เป็น "</span><a class="mw-redirect" title="วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วันสำคัà¸à¸—างพระพุทธศาสนา"><span style="font-family:trebuchet ms;">วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">สากล" ของชาวพุทธทุก</span><a title="นิกาย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/นิà¸à¸²à¸¢"><span style="font-family:trebuchet ms;">นิกาย</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">ทั่ว</span><a title="โลก" href="http://th.wikipedia.org/wiki/โลà¸"><span style="font-family:trebuchet ms;">โลก</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">, วันหยุดราชการ ในหลาย</span><a title="ประเทศ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศ"><span style="font-family:trebuchet ms;">ประเทศ</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> และ วันสำคัญของโลก ตามมติเอกฉันท์ของ</span><a class="mw-redirect" title="องค์การสหประชาชาติ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/องค์à¸à¸²à¸£à¸ªà¸«à¸›à¸£à¸°à¸Šà¸²à¸Šà¸²à¸•à¸´"><span style="font-family:trebuchet ms;">ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> เพราะเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดใน</span><a title="พระพุทธศาสนา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พระพุทธศาสนา"><span style="font-family:trebuchet ms;">พระพุทธศาสนา</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> 3 เหตุการณ์ด้วยกัน คือ เป็นวันคล้ายวันประสูติ, </span><a title="ตรัสรู้" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ตรัสรู้"><span style="font-family:trebuchet ms;">ตรัสรู้</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> และ</span><a title="ปรินิพพาน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ปรินิพพาน"><span style="font-family:trebuchet ms;">ปรินิพพาน</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> แห่งองค์</span><a class="mw-redirect" title="สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" href="http://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"><span style="font-family:trebuchet ms;">สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> โดยทั้งสามเหตุการณ์นั้นได้เกิดตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือใน</span><a class="mw-redirect" title="วันเพ็ญ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วันเพ็à¸"><span style="font-family:trebuchet ms;">วันเพ็ญ</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">แห่งเดือนวิสาขมาส (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่าเป็นวันที่รวมเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ยิ่ง จึงเรียกการบูชาในวันนี้ว่า "วิสาขบูชา" ย่อมาจาก"วิสาขปูรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" อันเป็นเดือนที่สองตาม</span><a title="ปฏิทิน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ปà¸à¸´à¸—ิน"><span style="font-family:trebuchet ms;">ปฏิทิน</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">ของอินเดีย ซึ่งตรงกับ</span><a class="mw-redirect" title="วันเพ็ญ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วันเพ็à¸"><span style="font-family:trebuchet ms;">วันเพ็ญ</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">เดือน 6 ตาม</span><a class="mw-redirect" title="ปฏิทินจันทรคติของไทย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ปà¸à¸´à¸—ินจันทรคติของไทย"><span style="font-family:trebuchet ms;">ปฏิทินจันทรคติของไทย</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> ซึ่งมักจะตรงกับเดือน</span><a title="พฤษภาคม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พฤษà¸"><span style="font-family:trebuchet ms;">พฤษภาคม</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> หรือ</span><a title="มิถุนายน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/มิถุนายน"><span style="font-family:trebuchet ms;">มิถุนายน</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> โดยใน</span><a title="ประเทศไทย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศไทย"><span style="font-family:trebuchet ms;">ประเทศไทย</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> ถ้าในปีใดมีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 7 หลัง ตาม</span><a title="ปฏิทินจันทรคติ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ปà¸à¸´à¸—ินจันทรคติ"><span style="font-family:trebuchet ms;">ปฏิทินจันทรคติ</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">ของไทย ซึ่งประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทอื่นที่ไม่ได้ถือคติตามปฏิทินจันทรคติของไทย จะจัดพิธีวิสาขบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 แม้ในปีนั้นจะมีเดือน 8 สองหนตามปฏิทินจันทรคติไทยก็ตาม และในกลุ่มชาวพุทธ</span><a title="มหายาน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/มหายาน"><span style="font-family:trebuchet ms;">มหายาน</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">บางนิกาย ที่นับถือว่าเหตุการณ์ทั้ง 3 นั้น เกิดในวันต่างกันไป จะมีการจัดพิธีวิสาขบูชาต่างวันกันตามความเชื่อในนิกายของตน ๆ ซึ่งจะไม่ตรงกับวันวิสาขบูชาตามปฏิทินของชาวพุทธเถรวาท<br />วันวิสาขบูชานั้น ได้รับการยกย่องจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลกให้เป็น</span><a class="mw-redirect" title="รายการวันสำคัญทางพุทธศาสนา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/รายà¸à¸²à¸£à¸§à¸±à¸™à¸ªà¸³à¸„ัà¸à¸—างพุทธศาสนา"><span style="font-family:trebuchet ms;">วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> เนื่องจากเป็นวันที่บังเกิดเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าและจุดเริ่มต้นของศาสนาพุทธ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดได้เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน ณ ดินแดนที่เรียกว่า</span><a title="ชมพูทวีป" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ชมพูทวีป"><span style="font-family:trebuchet ms;">ชมพูทวีป</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">ในสมัย</span><a title="พุทธกาล" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พุทธà¸à¸²à¸¥"><span style="font-family:trebuchet ms;">พุทธกาล</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> โดยเหตุการณ์แรก เมื่อ 80 ปี ก่อน</span><a title="พุทธศักราช" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พุทธศัà¸à¸£à¸²à¸Š"><span style="font-family:trebuchet ms;">พุทธศักราช</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> เป็น "วันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ" ณ ใต้ร่มสาละพฤกษ์ ใน</span><a class="mw-redirect" title="พระราชอุทยานลุมพินีวัน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พระราชอุทยานลุมพินีวัน"><span style="font-family:trebuchet ms;">พระราชอุทยานลุมพินีวัน</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> (อยู่ในเขต</span><a title="ประเทศเนปาล" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเนปาล"><span style="font-family:trebuchet ms;">ประเทศเนปาล</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">ในปัจจุบัน) และเหตุการณ์ต่อมา เมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันที่เจ้าชายสิทธัตถะได้</span><a title="ตรัสรู้" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ตรัสรู้"><span style="font-family:trebuchet ms;">บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">" ณ </span><a title="พุทธคยา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พุทธคยา"><span style="font-family:trebuchet ms;">ใต้ร่มโพธิ์พฤกษ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> (อยู่ในเขต</span><a title="ประเทศอินเดีย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศอินเดีย"><span style="font-family:trebuchet ms;">ประเทศอินเดีย</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">ในปัจจุบัน) และเหตุการณ์สุดท้าย เมื่อ 1 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันเสด็จดับขันธปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ณ ใต้ร่มสาละพฤกษ์ ใน</span><a title="กุสินารา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸¸à¸ªà¸´à¸™à¸²à¸£à¸²"><span style="font-family:trebuchet ms;">สาลวโนทยาน พระราชอุทยานของเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> (อยู่ในเขต</span><a title="ประเทศอินเดีย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศอินเดีย"><span style="font-family:trebuchet ms;">ประเทศอินเดีย</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">ในปัจจุบัน) โดยเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนเกิดตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 หรือเดือนวิสาขะนี้ทั้งสิ้น ชาวพุทธจึงนับถือว่าวันเพ็ญเดือน 6 นี้ เป็นวันที่รวมวันคล้ายวันเกิดเหตุการณ์สำคัญ ๆ ของพระพุทธเจ้าไว้มากที่สุด และได้นิยมประกอบพิธีบำเพ็ญบุญกุศลและประกอบพิธีพุทธบูชาต่าง ๆ เพื่อเป็นการถวายสักการะรำลึกถึงแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบมาจนปัจจุบัน<br />วิสาขบูชา มีการนับถือปฏิบัติกันในหลายประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้ง</span><a title="มหายาน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/มหายาน"><span style="font-family:trebuchet ms;">มหายาน</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">และ</span><a title="เถรวาท" href="http://th.wikipedia.org/wiki/เถรวาท"><span style="font-family:trebuchet ms;">เถรวาท</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">ทุก</span><a title="นิกาย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/นิà¸à¸²à¸¢"><span style="font-family:trebuchet ms;">นิกาย</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">มาช้านานแล้ว ในบางประเทศเรียกพิธีนี้ว่า "พุทธชยันตี" (Buddha Jayanti) เช่นใน </span><a class="mw-redirect" title="อินเดีย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/อินเดีย"><span style="font-family:trebuchet ms;">อินเดีย</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> และ</span><a class="mw-redirect" title="ศรีลังกา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ศรีลังà¸à¸²"><span style="font-family:trebuchet ms;">ศรีลังกา</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> ในปัจจุบันมีหลายประเทศที่ยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ เช่น </span><a title="ประเทศอินเดีย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศอินเดีย"><span style="font-family:trebuchet ms;">ประเทศอินเดีย</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">, </span><a title="ประเทศไทย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศไทย"><span style="font-family:trebuchet ms;">ประเทศไทย</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">, </span><a title="ประเทศพม่า" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศพม่า"><span style="font-family:trebuchet ms;">ประเทศพม่า</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">, </span><a title="ประเทศศรีลังกา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศศรีลังà¸à¸²"><span style="font-family:trebuchet ms;">ประเทศศรีลังกา</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">, </span><a class="mw-redirect" title="สิงคโปร์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/สิงคโปร์"><span style="font-family:trebuchet ms;">สิงคโปร์</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> และ</span><a class="mw-redirect" title="อินโดนีเซีย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/อินโดนีเซีย"><span style="font-family:trebuchet ms;">อินโดนีเซีย</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> เป็นต้น (ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากรที่นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมากที่สุด) ในฝ่ายของประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ได้รับคติการปฏิบัติบูชาในวันวิสาขบูชามาจากลังกา (ประเทศศรีลังกา) ในประเทศไทยปรากฏหลักฐานว่ามีการจัดพิธีวิสาขบูชามาตั้งแต่</span><a class="mw-redirect" title="สมัยสุโขทัย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/สมัยสุโขทัย"><span style="font-family:trebuchet ms;">สมัยสุโขทัย</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"><br />วันวิสาขบูชา ถือได้ว่าเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล เพราะชาวพุทธทุกนิกายจะพร้อมใจกันจัดพิธีพุทธบูชาในวันนี้พร้อมกันทั่วทั้งโลก (ซึ่งไม่เหมือน</span><a title="วันมาฆบูชา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วันมาฆบูชา"><span style="font-family:trebuchet ms;">วันมาฆบูชา</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> และ</span><a title="วันอาสาฬหบูชา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วันอาสาฬหบูชา"><span style="font-family:trebuchet ms;">วันอาสาฬหบูชา</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> ที่เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่นิยมนับถือกันเฉพาะในประเทศไทย, ลาว, และกัมพูชา) และด้วยเหตุนี้ ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติจึงยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็น "วันสำคัญสากลนานาชาติ (International Day)" หรือ "วันสำคัญของโลก" ตามคำประกาศของ</span><a title="สหประชาชาติ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/สหประชาชาติ"><span style="font-family:trebuchet ms;">ที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> ครั้งที่ 54 ลงวันที่ </span><a title="13 ธันวาคม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/13_ธันวาคม"><span style="font-family:trebuchet ms;">13 ธันวาคม</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> </span><a title="พ.ศ. 2542" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พ.ศ._2542"><span style="font-family:trebuchet ms;">พ.ศ. 2542</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"><br />ปัจจุบัน ประเทศไทยได้ประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น </span><a title="การตักบาตร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸²à¸£à¸•à¸±à¸à¸šà¸²à¸•à¸£"><span style="font-family:trebuchet ms;">การตักบาตร</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> การฟังพระธรรมเทศนา </span><a title="การเวียนเทียน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸²à¸£à¹€à¸§à¸µà¸¢à¸™à¹€à¸—ียน"><span style="font-family:trebuchet ms;">การเวียนเทียน</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึง</span><a class="mw-redirect" title="พระรัตนตรัย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พระรัตนตรัย"><span style="font-family:trebuchet ms;">พระรัตนตรัย</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">และเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันคล้ายวันที่ "ประสูติ" ของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาได้ "ตรัสรู้" เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงกอปรไปด้วย "พระบริสุทธิคุณ", "พระปัญญาคุณ" ผู้ซึ่งได้ทรงสั่งสอนประกาศพระสัจธรรม คือความจริงของโลกแก่พหูชนทั้งปวงโดย "พระมหากรุณาธิคุณ" จวบจนทรง "เสด็จดับขันธปรินิพพาน" ในวาระสุดท้าย ซึ่งทั้งสามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสืบเนื่องในวันเพ็ญเดือน 6 ทั้งสิ้นนี้ ทำให้พระพุทธศาสนาได้บังเกิดและสืบต่อมาอย่างมั่นคงจนถึงปัจจุบัน</span><br /><br /><div><span style="font-family:trebuchet ms;"><span style="color:#ff0000;"><span style="font-family:arial;font-size:180%;">ความสำคัญ<br /></span></span>วันวิสาขบูชาเป็นวันที่ระลึกถึงวันประสูติ </span><a title="ตรัสรู้" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ตรัสรู้"><span style="font-family:trebuchet ms;">ตรัสรู้</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> และ</span><a title="ปรินิพพาน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ปรินิพพาน"><span style="font-family:trebuchet ms;">ปรินิพพาน</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">ขององค์</span><a title="พระโคตมพุทธเจ้า" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พระโคตมพุทธเจ้า"><span style="font-family:trebuchet ms;">สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> ซึ่งตรงกับ</span><a class="mw-redirect" title="วันเพ็ญ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วันเพ็à¸"><span style="font-family:trebuchet ms;">วันเพ็ญ</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> เดือนวิสาขมาส (เดือน 6) ตรงกันทั้ง 3 คราว คือ<br />เช้า</span><a title="วันศุกร์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วันศุà¸à¸£à¹Œ"><span style="font-family:trebuchet ms;">วันศุกร์</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี </span><a class="mw-redirect" title="เจ้าชายสิทธัตถะ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/เจ้าชายสิทธัตถะ"><span style="font-family:trebuchet ms;">เจ้าชายสิทธัตถะ</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> ประสูติ ที่พระราชอุทยาน</span><a title="ลุมพินีวัน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ลุมพินีวัน"><span style="font-family:trebuchet ms;">ลุมพินีวัน</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">ระหว่างกรุง</span><a class="mw-redirect" title="กบิลพัสดุ์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸šà¸´à¸¥à¸žà¸±à¸ªà¸”ุ์"><span style="font-family:trebuchet ms;">กบิลพัสดุ์</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">กับเทวทหะ<br />เช้ามืด</span><a title="วันพุธ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วันพุธ"><span style="font-family:trebuchet ms;">วันพุธ</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี เจ้าชายสิทธัตถะ ตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม หลังจากออกผนวชได้ 6 ปี ปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้เรียกว่า </span><a title="พุทธคยา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พุทธคยา"><span style="font-family:trebuchet ms;">พุทธคยา</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่ง</span><a title="รัฐพิหาร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/รัà¸à¸žà¸´à¸«à¸²à¸£"><span style="font-family:trebuchet ms;">รัฐพิหาร</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> ประเทศอินเดีย<br />หลังจากตรัสรู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงออกประกาศ</span><a title="พระพุทธศาสนา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พระพุทธศาสนา"><span style="font-family:trebuchet ms;">พระธรรมวินัย</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">และโปรดเวไนยสัตว์เป็นเวลา 45 ปี เมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา ก็ เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อ</span><a title="วันอังคาร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วันอังคาร"><span style="font-family:trebuchet ms;">วันอังคาร</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ณ </span><a class="mw-redirect" title="สาลวโนทยาน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/สาลวโนทยาน"><span style="font-family:trebuchet ms;">สาลวโนทยาน</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> ของมัลลกษัตริย์ </span><a class="mw-redirect" title="เมืองกุสินารา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/เมืองà¸à¸¸à¸ªà¸´à¸™à¸²à¸£à¸²"><span style="font-family:trebuchet ms;">เมืองกุสินารา</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ในเมืองกุสีนคระ แคว้นอุตตรประเทศ </span><a title="ประเทศอินเดีย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศอินเดีย"><span style="font-family:trebuchet ms;">ประเทศอินเดีย</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">)<br />เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญทั้ง 3 เหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น เกิดขึ้นตรงกันในวันเพ็ญ เดือน 6 ชาวพุทธจึงเรียกการบูชาในวันนี้ว่า "วันวิสาขบูชา" ซึ่งแปลว่า การบูชาในวันเพ็ญเดือนหก (บางแห่งเรียกว่า วันพระพุทธเจ้า หรือ พุทธชยันตี)</span></div><br /><div><span style="font-family:trebuchet ms;"><span style="font-size:180%;color:#996633;">การประกอบพิธีใน วันวิสาขบูชา</span> </span></div><div><span style="font-family:trebuchet ms;">จะแบ่งออกเป็น 3 พิธี ได้แก่ </span></div><div><span style="font-family:trebuchet ms;">1. พิธีหลวง คือ พระราชพิธีสำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ประกอบในวันวิสาขบูชา </span></div><div><span style="font-family:trebuchet ms;">2. พิธีราษฎร์ คือ พิธีของประชาชนทั่วไป </span></div><div><span style="font-family:trebuchet ms;">3. พิธีของพระสงฆ์ คือ พิธีที่พระสงฆ์ประกอบศาสนกิจ กิจกรรมใน วันวิสาขบูชากิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติใน วันวิสาขบูชา ได้แก่ </span></div><div><span style="font-family:trebuchet ms;"> 1. ทำบุญใส่บาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับ และเจ้ากรรมนายเวร </span></div><div><span style="font-family:trebuchet ms;"> 2. จัดสำรับคาวหวานไปทำบุญถวายภัตตาหารที่วัด และปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา </span></div><div><span style="font-family:trebuchet ms;"> 3. ปล่อยนกปล่อยปลา เพื่อสร้างบุญสร้างกุศล </span></div><div><span style="font-family:trebuchet ms;"> 4. ร่วมเวียนเทียนรอบอุโบสถที่วัดในตอนค่ำ เพื่อรำลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ </span></div><div><span style="font-family:trebuchet ms;"> 5. ร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับวันสำคัญทางพุทธศาสนา </span></div><div><span style="font-family:trebuchet ms;"> 6. จัดแสดงนิทรรศการ ประวัติ หรือเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับวันวิสาขบูชาตามโรงเรียน หรือสถานที่ราชการต่างๆ เพื่อให้ความรู้ และเป็นการร่วมรำลึกถึงความสำคัญของวันวิสาขบูชา </span></div><div><span style="font-family:trebuchet ms;"> 7. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน วัดและสถานที่ราชการ </span></div><div><span style="font-family:trebuchet ms;"> 8. บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ หลักธรรมที่สำคัญใน วันวิสาขบูชา ที่ควรนำมาปฏิบัติใน วันวิสาขบูชา พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรยึดมั่นในหลักธรรม ซึ่งหลักธรรมที่ควรนำมาปฏิบัติในวันวิสาขบูชา ได้แก่ </span></div><div><span style="font-family:trebuchet ms;"> 1. ความกตัญญู คือ การรู้คุณคน เป็นคุณธรรมที่คู่กับความกตเวที ซึ่งหมายถึงการตอบแทนคุณที่มีผู้ทำไว้ ความกตัญญูและความกตเวทีนี้ เป็นเครื่องหมายของคนดี ทำให้ครอบครัวและสังคมมีความสุข ซึ่งความกตัญญูกตเวทีนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้ง บิดามารดาและลูก ครูอาจารย์กับศิษย์ นายจ้างกับลูกจ้าง ฯลฯ ในพระพุทธศาสนา เปรียบพระพุทธเจ้าเสมือนกับบุพการี ผู้ชี้ให้เห็นทางหลุดพ้นแห่งความทุกข์ ดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงควรตอบแทนด้วยความกตัญญูกตเวทีด้วยการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และดำรงพระพุทธศาสนาให้อยู่สืบไป</span></div><div><span style="font-family:trebuchet ms;"> 2. อริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใน วันวิสาขบูชา ได้แก่ ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิต สภาวะที่ทนได้ยาก ซึ่งทุกข์ขั้นพื้นฐาน คือ การเกิด การแก่ และการตาย ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ ส่วนทุกข์จร คือ ทุกข์ที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การพลัดพลาดจากสิ่งที่เป็นที่รัก หรือ ความยากจน เป็นต้น สมุทัย คือ ต้นเหตุของปัญหา หรือสาเหตุของการเกิดทุกข์ และสาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาเกิดจาก "ตัณหา" อันได้แก่ ความอยากได้ต่างๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด นิโรธ คือ ความดับทุกข์ เป็นสภาพที่ความทุกข์หมดไป เพราะสามารถดับกิเลส ตัณหา อุปาทานออกไปได้ มรรค คือ หนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ เป็นการปฎิบัติเพื่อแก้ปัญหา มี 8 ประการ ได้แก่ ความเห็นชอบ ดำริชอบ วาจาชอบ กระทำชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งจิตมั่นชอบ3. ความไม่ประมาทคือการมีสติตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร ล้วนต้องใช้สติ เพราะสติคือการระลึกได้ การระลึกได้อยู่เสมอจะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ซึ่งความประมาทนั้นจะทำให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมา ดังนั้นในวันนี้พุทธศาสนิกชนจะพากันน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยความมีสติ</span></div><br /><div><span style="font-family:trebuchet ms;"><span style="font-size:180%;color:#009900;">ประวัติความเป็นมาของการประกอบพิธีวันวิสาขบูชาในประเทศไทย</span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxGykNUlZIk9zVabclwdfB9J_2oUYQTQ3OXlcUca_B71dqGKs7INoB_TMznmaGnJewqGvrgWy6mS6KS6E3s9DB3-jT1siI8kzU_tBFGNS3bNsm3DHkggXXBFy47YEAHh70pcyJ5_vg6Ho/s1600/200px-ขบวนอัà¸à¹€à¸Šà¸´à¸à¸žà¸£à¸°à¸šà¸£à¸.jpg"><span style="color:#009900;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5478548579355968114" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 230px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxGykNUlZIk9zVabclwdfB9J_2oUYQTQ3OXlcUca_B71dqGKs7INoB_TMznmaGnJewqGvrgWy6mS6KS6E3s9DB3-jT1siI8kzU_tBFGNS3bNsm3DHkggXXBFy47YEAHh70pcyJ5_vg6Ho/s400/200px-%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%258D%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%258D%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8.jpg" border="0" /></span></a></span></div><div><span style="font-family:trebuchet ms;">การจัดพิธีวิสาขบูชาในประเทศไทย ได้รับอิทธิพลมาจาก</span><a class="mw-redirect" title="ลังกา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ลังà¸à¸²"><span style="font-family:trebuchet ms;">ลังกา</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัย</span><a title="อาณาจักรสุโขทัย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/อาณาจัà¸à¸£à¸ªà¸¸à¹‚ขทัย"><span style="font-family:trebuchet ms;">อาณาจักรสุโขทัย</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">เป็นราชธานี โดยปรากฏหลักฐานจากหนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์</span><span style="font-family:trebuchet ms;"> ซึ่งกล่าวถึงการพิธีวิสาขบูชาไว้ว่ามีมาแต่สมัยสุโขทัยแล้ว</span><span style="font-family:trebuchet ms;">โดยในหนังสือได้กล่าวไว้ว่างานวิสาขบูชาเป็นงานเฉลิมฉลองใหญ่สำหรับอาณาจักร ทั้งพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์และพสกนิกรทั้งปวงจะมาร่วมกันประกอบพิธีนี้ โดยมีการพร้อมใจกันทำความสะอาดและตกแต่งประดับประดาดอกไม้โคมไฟเพื่อเฉลิมฉลอง และพร้อมใจกันบำเพ็ญบุญกุศลและทานต่าง ๆ เช่น เข้าวัดทำบุญ รักษาศีล 5 ฟังพระธรรมเทศนา และการสาธารณะสงเคราะห์สาธารณะประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ตั้งโรงทานเลี้ยงดูคนยากจนเป็นต้น เป็นเวลาถึงสามวันสามคืน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เมื่อถึงวันวิสาขบูชา เวลาเย็นจะมีการเวียนเทียนรอบสถูปเจดีย์</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">ความจากหนังสือตำหรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ดังกล่าวมานี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายเกี่ยวกับเค้าโครงของหนังสือนี้ว่ามีเค้าโครงมาจากสมัยสุโขทัยจริง แต่รายละเอียดบางส่วนอาจจะมีการแต่งเสริมกันขึ้นมาในสมัย</span><a title="อยุธยา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/อยุธยา"><span style="font-family:trebuchet ms;">อยุธยา</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">หรือ</span><a class="mw-redirect" title="รัตนโกสินทร์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/รัตนโà¸à¸ªà¸´à¸™à¸—ร์"><span style="font-family:trebuchet ms;">รัตนโกสินทร์</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> อย่างไรก็ดี จากหลักฐานดังกล่าว (แม้จะไม่แน่ชัด) การพิธีวิสาขบูชา ย่อมเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย เพราะในสมัยนั้นกรุงสุโขทัยได้สืบพระพุทธศาสนานิกาย</span><a title="เถรวาท" href="http://th.wikipedia.org/wiki/เถรวาท"><span style="font-family:trebuchet ms;">เถรวาท</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">มาจาก</span><a class="mw-redirect" title="ลังกาประเทศ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ลังà¸à¸²à¸›à¸£à¸°à¹€à¸—ศ"><span style="font-family:trebuchet ms;">ลังกาประเทศ</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> ซึ่งเป็นเมืองที่มั่นทางพระพุทธศาสนามาตั้งแต่สมัย</span><a title="พระเจ้าอโศกมหาราช" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พระเจ้าอโศà¸à¸¡à¸«à¸²à¸£à¸²à¸Š"><span style="font-family:trebuchet ms;">พระเจ้าอโศกมหาราช</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> และขนาดของการจัดพิธีบูชาเฉลิมฉลองในวันวิสาขบูชาของชาวศรีลังกานั้น นับเป็นพิธีใหญ่และสำคัญมากของอาณาจักรมาตั้งแต่แรกรับพระพุทธศาสนามาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการจัดพิธีเฉลิมฉลองในวันวิสาขบูชาของประเทศศรีลังกานั้นมีความสำคัญและส่งอิทธิพลต่อประเทศพุทธศาสนาอื่นเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาณาจักรสุโขทัยที่รับสืบพระพุทธศาสนามาจากประเทศศรีลังกาโดยตรง และหลังการเสื่อมอำนาจของอาณาจักรสุโขทัย จนถึงในสมัยอยุธยาก็สันนิษฐานว่าคงมีการปฏิบัติพิธีวิสาขบูชาอยู่ แต่ลดความสำคัญลงไปมาก จนไม่ปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารหรือจารึกใด จนมาในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ พิธีวิสาขบูชาจึงได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง หลังจากความเสื่อมของพระพุทธศาสนาหลังยุคสุโขทัยล่มสลาย เพราะหลังจากสิ้นยุคอาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรอยุธยาได้ถูกครอบงำด้วยแนวคิดทางคติพราหมณ์ซึ่งได้รับจากการซึมซับวัฒนธรรม</span><a class="mw-redirect" title="ฮินดู" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ฮินดู"><span style="font-family:trebuchet ms;">ฮินดู</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">แบบ</span><a title="ขอม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ขอม"><span style="font-family:trebuchet ms;">ขอม</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> (นครวัด) </span><span style="font-family:trebuchet ms;">จนในรัชสมัยของ</span><a title="พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านà¸"><span style="font-family:trebuchet ms;">พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> รัชกาลที่ 2 พระองค์ได้มีพระราชประสงค์ให้ทำการฟื้นฟูการประกอบพิธีวิสาขบูชาขึ้น พระองค์ได้ทรงปรึกษากับ </span><a title="สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี)" href="http://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระอริยวงษà¸à¸²à¸“_สมเด็จพระสังฆราช_(มี)"><span style="font-family:trebuchet ms;">สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี)</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> </span><a title="วัดราชบูรณะ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วัดราชบูรณะ"><span style="font-family:trebuchet ms;">วัดราชบูรณะ</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> (วัดเลียบ) ให้วางแนวปฏิบัติการพระราชพิธีวิสาขบูชา และพระราชพิธีวันวิสาขบูชาครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ก็ได้จัดขึ้นเป็นการพระราชพิธีใหญ่ 3 วัน 3 คืน นับตั้งแต่วันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ ถึง วันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 </span><a class="mw-redirect" title="ปีฉลู" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ปีฉลู"><span style="font-family:trebuchet ms;">ปีฉลู</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> นพศก จุลศักราช 1179 (</span><a title="พ.ศ. 2360" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พ.ศ._2360"><span style="font-family:trebuchet ms;">พ.ศ. 2360</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">) ในรัชสมัยของ</span><a title="พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระนั่งเà¸à¸¥à¹‰à¸²à¹€à¸ˆà¹‰à¸²à¸­à¸¢à¸¹à¹ˆà¸«à¸±à¸§"><span style="font-family:trebuchet ms;">พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> รัชกาลที่ 3 ได้ทรงเพิ่มจัดให้มีการเทศน์ปฐมสมโพธิกถา (พระพุทธประวัติ) ในวัน</span><a class="mw-redirect" title="วิสาขบูชา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วิสาขบูชา"><span style="font-family:trebuchet ms;">วิสาขบูชา</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">ด้วย ต่อมาในรัชสมัยของ</span><a title="พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระจอมเà¸à¸¥à¹‰à¸²à¹€à¸ˆà¹‰à¸²à¸­à¸¢à¸¹à¹ˆà¸«à¸±à¸§"><span style="font-family:trebuchet ms;">พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> รัชกาลที่ 4 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้</span><a title="พระบรมวงศานุวงศ์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พระบรมวงศานุวงศ์"><span style="font-family:trebuchet ms;">พระบรมวงศานุวงศ์</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">และข้าราชการตั้งโต๊ะเครื่องบูชารอบระเบียงพระอุโบสถ</span><a title="วัดพระศรีรัตนศาสดาราม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วัดพระศรีรัตนศาสดาราม"><span style="font-family:trebuchet ms;">วัดพระศรีรัตนศาสดาราม</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ในรัชสมัยของ</span><a title="พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเà¸à¸¥à¹‰à¸²à¹€à¸ˆà¹‰à¸²à¸­à¸¢à¸¹à¹ˆà¸«à¸±à¸§"><span style="font-family:trebuchet ms;">พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> รัชกาลที่ 5 ปรากฏหลักฐานว่าได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจุดดอกไม้เพลิงถวายเป็นพุทธบูชา และให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการฝ่ายใน และหน่วยราชการต่าง ๆ เดินเวียนเทียน จัดโคมประทีป และสวดมนต์ที่พระพุทธรัตนสถาน </span><a title="วัดพระศรีรัตนศาสดาราม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วัดพระศรีรัตนศาสดาราม"><span style="font-family:trebuchet ms;">วัดพระศรีรัตนศาสดาราม</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"> และมีการจัดพิธี</span><a class="mw-redirect" title="วิสาขบูชา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วิสาขบูชา"><span style="font-family:trebuchet ms;">วิสาขบูชา</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;">สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน<br />จากความเป็นมาของการจัดพิธีวิสาขบูชาในประเทศไทยจากสมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบันดังกล่าว กล่าวได้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้พิธีวิสาขบูชาแพร่หลายในหมู่ประชาชน ซึ่งปัจจุบันการพิธีวิสาขบูชาก็ได้แพร่หลายในประเทศไทยและได้รับการปฏิบัติสืบมาอย่างเข้มแข็ง วันวิสาขบูชากลายเป็นวันหยุดราชการโดยพฤตินัยมาแต่โบราณ</span><span style="font-family:trebuchet ms;"> ทั้งภาครัฐภาคเอกชนประชาชนและคณะสงฆ์ได้กลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในวันวิสาขบูชาเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาพร้อม ๆ กับชาวพุทธทั่วทั้งโลก และเป็นการช่วยกันสนับสนุนในการรักษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปพร้อม ๆ กันด้วยอีกทางหนึ่ง</span></div>★♫♬♪❤→B A N K _ F R E E D O M←❤♪♫♬★http://www.blogger.com/profile/06142180092029955884noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24627727029158635.post-90979864281882463622010-05-17T05:05:00.000-07:002010-05-22T04:29:24.879-07:00การแบ่งยุคสมัยประวัติศาสตร์สากลและไทย<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQFjrnF4CXmoIxDEd_5Dl2nlg_AO-1uZeM0i5vOpzUJ-sds6u5m1ew5GTdZ5KIZMKTaSzo5XTTgoXVYuw4r5Zl8Ho7dBh0kOvnl4QsYIji-7uYU098_f8GvO5GXNXYXIYhv5g0nEzBqYo/s1600/sphinx.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5472211855858097186" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 300px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQFjrnF4CXmoIxDEd_5Dl2nlg_AO-1uZeM0i5vOpzUJ-sds6u5m1ew5GTdZ5KIZMKTaSzo5XTTgoXVYuw4r5Zl8Ho7dBh0kOvnl4QsYIji-7uYU098_f8GvO5GXNXYXIYhv5g0nEzBqYo/s400/sphinx.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong><span style="font-size:130%;color:#cc0000;">1.หลักเกณฑ์ในการแบ่งสมัยทางประวัติศาสตร์</span></strong> การศึกษาเรื่องราวในประวัติศาสตร์ไทย สามารถแบ่งช่วงในการศึกษาได้เป็น 2 ช่วง ได้แก่ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยประวัติศาสตร์ โดยการแบ่งสมัยก่อนประวัติศาสตร์กับสมัย ประวัติศาสตร์ ยึดถือเอาอายุของตัวอักษรที่เก่าแก่ที่สุดเป็นเกณฑ์การแบ่ง สำหรับดินแดนประเทศ ไทยเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์เมื่อพุทธศตวรรษที่ 11 โดยใช้อายุของตัวอักษรบนจารึกซึ่งพบจาก เมืองโบราณที่ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นหลัก โดยแต่ละสมัย นักวิชาการจะใช้หลักฐานในการ ศึกษาแตกต่างกัน ดังนี้<br /><span style="color:#cc33cc;"><strong>1). สมัยก่อนประวัติศาสตร์</strong></span> เป็นสมัยที่มนุษย์ยังไม่มีตัวอักษรสำหรับบันทึกเรื่องราว การศึกษาร่องรอยการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในช่วงนี้จึงจำเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์ตีความจาก หลักฐานชั้นต้นที่ได้จากการสำรวจทางโบราณคดี เช่น เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยหิน โลหะ เครื่อง ประดับ เครื่องปั้นดินเผา โครงกระดูก เมล็ดพืช ภาพเขียนสีตามฝาผนังถ้ำ</span> </div><br /><div><span style="font-family:arial;"><span style="color:#cc33cc;"><strong>2). สมัยประวัติศาสตร์</strong></span> เป็นช่วงที่มีตัวอักษรใช้บันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ แล้ว การศึกษาประวัติความเป็นมาของชุมชนในสมัยประวัติศาสตร์ จะมีการใช้หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์ อักษร เช่น จารึก จดหมายเหตุ บันทึกการเดินทาง ปูมโหร พงศาวดาร ตำนาน เป็นต้น และ หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ไม่ว่าจะเป็นโบราณสถาน เช่น เจดีย์ ปราสาทหิน เมืองโบราณ วัด เป็นต้น และโบราณวัตถุ เช่น พระพุทธรูป เทวรูป เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องประดับ เงินเหรียญ เป็นต้น มาเป็นข้อมูลสำหรับวิเคราะห์ตีความเพื่อให้ทราบเรื่องราวความเป็นมาในอดีตให้ชัดเจน ยิ่งขึ้น</span> </div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#cc0000;"><strong>2. หลักเกณฑ์การแบ่งยุคในสมัยก่อนประวัติศาสตร์</strong></span> <span style="font-family:arial;">การแบ่งยุคในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ นักวิชาการมีหลักในการแบ่งยุค ดังนี้ แบบที่หนึ่ง ให้ความสำคัญในเรื่องของเทคโนโลยีการทำเครื่องมือเครื่องใช้ โดยถือว่า เทคโนโลยีมีความสำคัญต่อพัฒนาการของมนุษย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ยุค ประกอบด้วย<br /><span style="color:#330099;"><strong>1) ยุคหิน</strong></span> แบ่งย่อยออกเป็นยุคหินเก่า ยุคหินกลาง และยุคหินใหม่ มีอายุประมาณ 500,000 ปี - 6,000 ปีล่วงมาแล้ว<br /><span style="color:#996633;"><strong>- ยุคหินเก่า</strong></span> มนุษย์ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ เก็บหาอาหาร อาศัยอยู่ในถ้ำ ใช้เครื่องมือหินที่ทำแบบหยาบๆ รู้จักเขียนภาพตามผนังถ้ำ<br /><strong><span style="color:#996633;">- ยุคหินกลาง</span></strong> มนุษย์ดำรงชีวิตเหมือนยุคหินเก่า รู้จักทำเครื่องมือหินที่ประณีต มากขึ้น รู้จักทำเครื่องปั้นดินเผาที่มีลักษณะผิวเรียบมัน<br /><strong><span style="color:#993300;">- ยุคหินใหม่</span></strong> มนุษย์ยุคนี้ดำรงชีวิตโดยการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ตั้งหลักแหล่งถาวร ทำเครื่องมือหินขัด ทำเครื่องปั้นดินเผา ทำเครื่องประดับ<br /><strong><span style="color:#000099;">2) ยุคโลหะ</span></strong> ครอบคลุมช่วงเวลาประมาณ 4,000 ปี - 1,500 ปีล่วงมาแล้ว แบ่งย่อย ออกเป็นยุคทองแดง ยุคสำริด และยุคเหล็ก คือ ยึดถือเอาชนิดของโลหะที่มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์เป็นเกณฑ์ การแบ่ง<br />- ยุคสำริด มนุษย์อาศัยอยู่เป็นชุมชนใหญ่ขึ้น ดำรงชีวิตด้วยการเพาะปลูก รู้จัก ปลูกข้าว มีการเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว หมู ชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่ายุคหินใหม่ รู้จักทำสำริดเป็นเครื่องใช้ เครื่องประดับ<br />- ยุคเหล็ก การดำรงชีวิตเจริญและซับซ้อนกว่ายุคสำริด มีการติดต่อค้าขายกับ อารยธรรมต่างแดน ทำให้ผู้คนมีความเจริญแตกต่างกัน มีการนำเหล็กมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ ซึ่งมีความคงทนกว่าสำริด ใช้งานได้ดีกว่า แบบที่สอง ให้ความสำคัญในเรื่องแบบแผนการดำรงชีวิตของผู้คน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ยุค ประกอบด้วย<br /><span style="color:#cc9933;"><strong>2.1) ยุคชุมชนล่าสัตว์ หรือเรียกว่า ยุคชุมชนหาของป่า</strong></span> ยุคนี้จะครอบคลุมช่วงเวลา ประมาณ 500,000 ปี - 6,000 ปีล่วงมาแล้ว<br /><span style="color:#ff9900;"><strong>2.2) ยุคหมู่บ้านเกษตรกรรม </strong></span>เป็นช่วงที่มนุษย์รู้จักการดำรงชีวิตด้วยการเพาะปลูก เลี้ยง สัตว์ สังคมยุคนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 6,000 ปี - 2,500 ปีล่วงมาแล้ว<br /><strong><span style="color:#ff9900;">2.3) ยุคสังคมเมือง</span></strong> เป็นช่วงที่ชุมชนพัฒนาเป็นสังคมเมือง มีลักษณะเป็นเมืองเล็กๆ สังคมแบบนี้จะถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่เมื่อ 2,500 ปีล่วงมาแล้ว<br /><strong><span style="color:#339999;">· สมัยก่อนประวัติศาสตร์</span></strong> เป็นสมัยที่มนุษย์ยังไม่มีตัวอักษรสำหรับบันทึกเรื่องราว การศึกษาถึงร่องรอยการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในช่วงนี้จำเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์ตีความจากหลักฐานชั้นต้นที่ได้จากการสำรวจทางโบราณคดี เช่น เครื่องมือ เครื่องใช้ที่ทำด้วยหิน โลหะ เครื่องประดับ เครื่องปั้นดินเผา โครงกระดูก เมล็ดพืช ภาพเขียนตามฝาผนังถ้ำ เป็นต้น<br /><strong><span style="color:#339999;">· สมัยประวัติศาสตร์</span></strong> เป็นช่วงที่มีตัวอักษรใช้บันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ แล้ว การศึกษาประวัติความเป็นมาของชุมชนในสมัยประวัติศาสตร์ จะมีการใช้หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์ อักษร เช่น จารึก จดหมายเหตุ บันทึกการเดินทาง ปูมโหร พงศาวดาร ตำนาน เป็นต้น และ หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ไม่ว่าจะเป็นโบราณสถาน เช่น เจดีย์ ปราสาทหิน เมืองโบราณ วัด เป็นต้น และโบราณวัตถุ เช่น พระพุทธรูป เทวรูป เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องประดับ เงินเหรียญ เป็นต้น มาเป็นข้อมูลสำหรับวิเคราะห์ตีความเพื่อให้ทราบเรื่องราวความเป็นมาในอดีตให้ชัดเจน ยิ่งขึ้น<br /><strong><span style="color:#993399;">หลักเกณฑ์การแบ่งยุคในสมัยก่อนประวัติศาสตร์</span></strong><br /><span style="font-size:130%;"><span style="color:#cc0000;">การแบ่งยุคในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ นักวิชาการมีหลักในการแบ่งยุค ดังนี้</span></span><br /><span style="color:#000066;"><strong>แบบที่หนึ่ง ให้ความสำคัญในเรื่องของเทคโนโลยีการทำเครื่องมือเครื่องใช้ โดยถือว่า เทคโนโลยีมีความสำคัญต่อพัฒนาการของมนุษย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ยุค ประกอบด้วย<br /></strong></span><span style="color:#009900;">1.ยุคหิน</span> ซึ่งจำแนกออกเป็นยุคหินเก่า หินกลาง หินใหม่ มีอายุประมาณ 500,000 - 4,000 ปีล่วงมาแล้ว<br /><span style="color:#006600;">2.ยุคสำริด</span> มีอายุประมาณ 4,000 - 2500 ปีล่วงมาแล้ว<br /><span style="color:#009900;">3.ยุคเหล็ก</span> มีอายุระหว่าง 2,500 - 1,500 ปีล่วงมาแล้ว<br /><span style="color:#330099;"><strong>แบบที่สอง ให้ความสำคัญเรื่องแบบแผนการดำรงชีวิตของผู้คน แบ่งออกได้ 3 ยุค ดังนี้</strong></span><br /><span style="color:#cc33cc;">1.ยุคชุมชนล่าสัตว์ หรือเรียกว่า ยุคชุมชนหาของป่า</span> ยุคนี้จะครอบคลุมช่วงเวลา ประมาณ 500,000 ปี - 6,000 ปีล่วงมาแล้ว<br /><span style="color:#cc33cc;">2.ยุคหมู่บ้านเกษตรกรรม</span> เป็นช่วงที่มนุษย์รู้จักการดำรงชีวิตด้วยการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ สังคมยุคนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 6,000 ปี - 2,500 ปีล่วงมาแล้ว<br /><span style="color:#cc33cc;">3.ยุคสังคมเมือง</span> เป็นช่วงที่ชุมชนพัฒนาเป็นสังคมเมือง มีลักษณะเป็นเมืองเล็กๆ สังคมแบบนี้จะถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่เมื่อ 2,500 ปีล่วงมาแล้ว </span></div><div><span style="font-family:Arial;"></span></div><div><span style="font-family:Arial;color:#cc0000;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:Arial;color:#cc0000;"><strong>แบบทดสอบหลังเรียน</strong></span></div><div><a href="http://quickr.me/1iR5P24">http://quickr.me/1iR5P24</a></div>★♫♬♪❤→B A N K _ F R E E D O M←❤♪♫♬★http://www.blogger.com/profile/06142180092029955884noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24627727029158635.post-88615435194889504002010-05-16T03:38:00.000-07:002010-05-22T03:51:38.613-07:00การนับศักราชแบ่งเป็นการนับศักราชแบบไทย และการนับศักราชแบบสากล<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhn6WW3U4o3f1Ia9d1YzpxBMf4GaAXzgCWkHi3ZL64litLoXsoI_7AWSru2mp2GB4ag1pdcUheBdWrVvO952i5Gd5ah-CWIExAc889dIrQweIToGUH0o8fRSCWq1HtSa_NJOi2Ne-hJr5s/s1600/DSC_0664.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5471830042748251378" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 266px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhn6WW3U4o3f1Ia9d1YzpxBMf4GaAXzgCWkHi3ZL64litLoXsoI_7AWSru2mp2GB4ag1pdcUheBdWrVvO952i5Gd5ah-CWIExAc889dIrQweIToGUH0o8fRSCWq1HtSa_NJOi2Ne-hJr5s/s400/DSC_0664.jpg" border="0" /></a> <span style="font-family:arial;">ศักราช หมายถึง ปีที่กำหนดเอาเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งซึ่งสำคัญมากสำหรับจดจารึกไว้ ศักราชที่มีกำหนดไว้มี คือพุทธศักราช (พ.ศ.) รัตนโกสินทร์ศก หรือ ร.ศ.) จุลศักราช (จ.ศ.) คริสต์ศักราช (ค.ศ.) และมหาศักราช (ม.ศ.) ศักราชเหล่านี้เริ่มต้นนับแตกต่างกัน </span><br /><span style="font-size:180%;"><span style="font-family:arial;color:#3333ff;">การนับศักราชแบบไทย มีดังนี้</span><br /></span><span style="color:#33cc00;"><span style="font-family:arial;"><strong>1.มหาศักราช(ม.ศ.)</strong></span><br /></span><span style="font-family:arial;">เกิดขึ้นในประเทศอินเดียภายหลังพุทธศักราช ๖๒๑ ปีแพร่หลายเข้ามาสู่ประเทศไทยผ่านทางพวกพราหมณ์เป็นผู้นำเข้ามาพร้อมกับตำราโหราศาสตร์ ในประเทศไทยใช้มหาศักราชก่อนศักราชอื่นๆ ตั้งแต่สมัยก่อนสุโขทัยจนถึงสมัยอยุธยาตอนกลางพบหลักฐานที่ใช้มากในศิลาจารึกสมัยสุโขทัย</span><br /><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#009900;">๒.พุทธศักราช(พ.ศ.)</span></strong><br />พุทธศักราชเกิดขึ้นในประเทศอินเดียและแพร่หลายในประเทศที่ตนนับถือพุทธศาสนาเป็นหลัก การนับพุทธศักราชเริ่มตั้งแต่ปีที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแต่มีวิธีการนับแตกต่างกันในไทยยึดหลักการนับ พ.ศ.๑ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ๑ ปี ไทยใช้พุทธศักราชมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ในสมัยอยุธยาบางรัชกาลใช้พุทธศักราชร่วมกับศักราชอื่นและใช้แพร่หลายในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปีพ.ศ.๒๔๕๕ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว </span><br /><span style="color:#33cc00;"><span style="font-family:arial;"><strong>๓.จุลศักราช(จ.ศ.)</strong></span><br /></span><span style="font-family:arial;">จุลศักราชเกิดขึ้นในประเทศพม่าภายหลังพุทธศักราช ๑๑๘๑ ปีแพร่หลายเข้ามาสู่ประเทศไทยและเริ่มใช้จุลศักราชมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและต่อมาใช้อย่างแพร่หลายในสมัยอยุธยาตอนปลายและต่อเนื่องมาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พบหลักฐานที่ใช้จุลศักราช เช่น พงศาวดารกรุงศรี อยุธยา กฎหมายตราสามดวง เป็นต้น ปัจจุบันยังใช้จุลศักราชในเอกสารบางประเภท เช่น ตำราโหราศาสตร์</span><br /><span style="font-family:arial;"><span style="color:#666600;"><strong><span style="color:#33cc00;">๔.รัตนโกสินทร์ศก(ร.ศ.)</span><br /></strong></span>รัตนโกสินทร์ศกเป็นการนับศักราชที่ใช้เฉพาะประเทศไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๓๒ โดยเริ่มนับร.ศ.๑เมื่อปีพ.ศ.๒๓๒๕ ซึ่งเป็นปีที่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ไทยเริ่มใช้การนับแบบร.ศ. ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและต่อมาสมัยพระบาทสมเด็จพระ มงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวเปลี่ยนไปใช้การนับพุทธศักราชจนถึงปัจจุบัน หลักฐานที่ใช้รัตนโกสินทร์ศก เช่น พระราชหัตเลขารัชกาลที่ ๕ และจดหมายพระราชกรณียกิจรายวันในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</span><br /><br /><span style="font-family:arial;font-size:180%;"><span style="color:#000099;">การนับศักราชแบบสากล</span> </span><br /><strong><span style="color:#993399;"><span style="font-family:arial;">มีดังนี้ศักราชที่ใช้กันแพร่หลายเป็นสากลในปัจจุบัน คือ คริสต์ศักราช(ค.ศ.) นอกจากนี้ยังมีฮิจเราะห์ศักราช(ฮ.ศ.) ซึ่งมีนับถืออิสลามทั่วโลกใช้</span><br /></span></strong><span style="font-family:arial;"><span style="color:#3366ff;"><strong>๑.คริสต์ศักราช (ค.ศ.)<br /></strong></span>เริ่มนับศักราชที่ ๑ โดยนับเมื่อพระเยชูศาสนาของศาสนาคริสต์ประสูติหลังพุทธศักราช ๕๔๓ ปีเป็นศักราชที่ใช้กันแพร่หลายทั่วโลกอันเนื่องมาจากประเทศมหาอำนาจ เช่น อังกฤษ และฝรั่งเศสใช้คริสต์ศักราชเมื่อเข้าไปจับจองอาณานิคมจึงนำคริสต์ศักราชเข้า ไปดินแดนนั้นด้วยหลักฐานที่ปรากฏ เช่น หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีประเทศอังกฤษ แล ประเทศสยาม คริสต์ศักราช ๑๘๒๖ และหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีประเทศอเมริกา แล ประเทศสยาม คริสต์ศักราช ๑๘๓๓ เป็นต้น</span><br /><span style="font-family:arial;"><span style="color:#3333ff;"><strong>๒.ฮิจเราะห์ศักราช(ฮ.ศ.)</strong></span><br />เป็นการนับศักราชที่ประเทศส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม เริ่มนับฮิจเราะห์ศักราชที่ ๑ในปีที่ท่านนบีมูฮำมัดพร้อมกับสาวกอพยพจากเมืองเมกกะไปอยู่ที่เมืองเมดินะ ฮิจเราะห์ศักราช มีเคาะลีฟฮ์ โอมาร์ หรือกาหลิบ โอมาร์ เป็นผู้ก่อตั้ง ชาวมุสลิมทั่วโลกใช้ฮิจเราะห์ศักราชในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของตน</span><br /><span style="font-family:arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#000099;">การเทียบศักราช</span><br /><strong><span style="color:#993399;"><span style="font-family:arial;">การเปรียบเทียบการนับศักราชแบบต่างๆกับพุทธศักราช มีหลักการเทียบดังนี้</span><br /></span></strong><span style="font-family:arial;">๑.การเทียบมหาศักราชกับพุทธศักราช คือพุทธศักราช = ปัจจุบันม.ศ. + ๖๒๑ หรือ พ.ศ. – ๖๒๑ = ม.ศ.</span><br /><span style="font-family:arial;">๒.การเทียบจุลศักราชกับพุทธศักราช คือ พุทธศักราช = ปัจจุบันจ.ศ. + ๑๑๘๑ หรือ พ.ศ. – ๑๑๘๑ = จ.ศ.</span><br /><span style="font-family:arial;">๓.การเทียบรัตนโกสินทร์ศกกับพุทธศักราช คือพุทธศักราช =ปัจจุบัน ร.ศ. +๒๓๒๔ หรือ พ.ศ.–๒๓๒๔ =ร.ศ.</span> <span style="font-family:arial;">๔.การเทียบคริสต์ศักราชกับพุทธศักราช คือ พุทธศักราช = ปัจจุบันค.ศ. + ๕๔๓ หรือ พ.ศ. – ๕๔๓= ค.ศ.</span><br /><span style="font-family:arial;">๕.การเทียบฮิจเราะห์ศักราชกับพุทธศักราช คือพุทธศักราช =ปัจจุบัน ฮ.ศ. +๑๑๒๒ หรือพ.ศ.–๑๑๒๒ = ฮ.ศ.</span><br /><span style="font-family:Arial;color:#cc33cc;"><strong>แบบทดสอบหลังเรียน</strong></span><br /><a href="http://quickr.me/1iR5P24">http://quickr.me/1iR5P24</a>★♫♬♪❤→B A N K _ F R E E D O M←❤♪♫♬★http://www.blogger.com/profile/06142180092029955884noreply@blogger.com0